นับวันประเทศไทยจะปรากฏพบ “ผู้ป่วยหูตึง-หูหนวก” มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเด็กแรกเกิดมีโอกาสสูญเสียการได้ยิน 2 ต่อ 1,000 คน ก่อให้เกิดปัญหาข้างเคียงลุกลามใหญ่โตตามมามากมายปัจจัยส่วนหนึ่งมาจาก “ผู้ปกครองไม่ใส่ใจความผิดปกติของลูกหลาน” ปล่อยให้ความบกพร่องทางการได้ยินนั้นกลายเป็น “ความทุกข์ทรมานต่อการเรียนรู้สู่การพูดช้าไม่ชัดผิดปกติ” ส่งผลให้การเรียนด้อยลงเพราะได้ยินครูพูดไม่ชัด สุดท้ายไม่รับการรักษาอย่างถูกวิธี “เด็ก” ตกเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้โดยปริยายในอายุ 5 ขวบดร.พญ.นัตวรรณ อุทุมพฤกษ์พร แพทย์เฉพาะทางหน่วยโสตประสาทวิทยา ฝ่ายโสต ศอ นาสิก รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย บอกว่า ตัวเลขเด็กมีปัญหาทางการได้ยินผิดปกติเพิ่มสูงขึ้นทุกปีไม่ว่าจะเป็น “อาการหูตึง” อันมีลักษณะการได้ยินเสียงไม่ชัดเจนรวมถึง “อาการหูหนวก” ที่ฟังไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่น้อย ตามสถิติทั่วโลกในทารกแรกเกิด 1 พันคนต้องมีเด็กหูหนวก 1-2 คน ส่วนสาเหตุเกิดได้ทั้งการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ความผิดปกติของหู การติดเชื้อแต่กำเนิด การรับยาสารบางอย่างที่มีพิษต่อหูเด็กในระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงคลอดเป็นทารกแล้วหูติดเชื้อ หูน้ำหนวก หรือมีสิ่งแปลกปลอมในช่องหู และความผิดปกติผิดรูปอื่นแม้แต่ “ขี้หูเยอะอุดตันขวางทางเดินของเสียง” ก็ทำให้การรับเสียงลดลงเป็นที่มาของคำว่า “หูอื้อ” เพราะโครงสร้างหูมี 3 ชั้น คือ “หูชั้นนอก” ทำหน้าที่เสมือนเครื่องขยายเสียงส่งผ่านไปหูชั้นกลางป้องกันเสียงดังไม่ให้ไปทำลายหูชั้นในแล้วหูชั้นในแปลผลไปที่สมองรับรู้ความหมายว่าเป็นเสียงอะไรทว่า “ขี้หูอุดตัน” มักหลุดออกได้เอง “ยกเว้นรูหูเล็ก” ต้องให้หมอช่วยกลับมาได้ยินเป็นปกติ แต่หากปล่อยไว้นานมีโอกาส “เกิดแผลเป็นหนองอักเสบติดเชื้อ” ลุกลามเข้าหูชั้นในกลายเป็นคนหูหนวกก็ได้เช่นกัน ยิ่งกว่านั้นผลจาก “การไม่ได้ยิน” มักเป็นปัญหาส่วนประกอบสำคัญของ “การพูด” เพราะเด็กไม่เคยได้ยินเสียงเข้าไป “กระตุ้นสมอง” ทำให้ขาดการพัฒนาภาษา หรือการแปลภาษาไม่สามารถเรียนเสียงนั้นนำมาซึ่ง “การสื่อสารบกพร่อง” โดยเฉพาะเด็กเล็กจะก่อให้เกิดปัญหาด้านการพูดได้ช้าผิดปกติหนำซ้ำยังมีผลเสียต่อ “ความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ พฤติกรรม การพัฒนาทางอารมณ์ และสังคม” สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก “พ่อแม่ไม่รู้ความผิดปกติการได้ยิน” ส่วนใหญ่คิดว่า “เด็กดื้อซน หรือสมาธิสั้น” เพราะเวลาเรียนมีพฤติกรรมอาการเหม่อลอย ไม่สนใจทำตามคำสั่งของครูผู้สอนอยู่บ่อยๆแต่ต้องเข้าใจว่า “เด็กหูตึง” มักแสดงออกด้วยพฤติกรรมดื้อซน ไม่สนใจคำสั่งเป็นสาเหตุให้พ่อแม่คิดเองว่า “ลูกเป็นออทิสติก หรือสมาธิสั้น” ต้องพาลูกมาปรึกษาหมอเด็ก และถูกส่งตัวมาหาหมอเฉพาะทางด้านหูตรวจความผิดปกติก่อนเสมอ แล้วหลายเคสเจอว่า “เด็กมีอาการหูตึง” ทำให้ไม่สนใจครูสอน ไม่สนใจเพื่อนเล่น ทั้งไม่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เช่น พ่อแม่เรียกไม่หันไม่สนใจ เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงใดๆ ดังนั้น การรักษาหมอจะกระตุ้นฟื้นฟูหูให้ได้ยินเสียงด้วยการใส่เครื่องช่วยฟังให้กลับมาเรียนหนังสือใช้ชีวิตเป็นปกติก่อนหน้านี้หมอเจอผู้ป่วยเด็กคนหนึ่ง “หูตึงบางความถี่” ไม่ได้ยินเสียงความถี่สูง (เสียงแหลมๆ) “จนไม่อาจพูดออกเสียงส.เสือได้” แม้ฝึกพูดขนาดไหนเด็กก็ยังพูดไม่ได้ เพราะไม่เคยได้ยินออกเสียงสูงมาก่อน ดังนั้นหมอเลยต้องใช้เครื่องช่วยฟังให้เกิดการกระตุ้นขยายเสียงแหลม และทำการฝึกพูดอยู่ราว 3-6 เดือนจนมาถึงวันที่หมอนัด คำแรกที่พูดได้คือ “สวัสดีค่ะ” คุณแม่น้ำตาแทบไหลด้วยความดีใจความจริงแล้ว “เด็กหูตึงน่าสงสารมาก” ต้องเหนื่อยกว่าเด็กทั่วไปหลายเท่า เพราะได้ยินเสียงไม่ชัด ฟังไม่รู้เรื่อง “เป็นอุปสรรคต่อการฟังครูสอนได้ไม่เต็มที่” เมื่อกลับบ้านต้องอ่านหนังสือทำความเข้าใจเอง ดังนั้น เด็กมีปัญหาหูตึงบางส่วนถ้าได้รับการกระตุ้นได้ยินหลายคนมักมีพัฒนาการดีเรียนเก่งเป็นที่ 1 ในห้องด้วยซ้ำ ส่วนการสังเกต “อาการเด็กหูตึง” ค่อนข้างดูด้วยตาได้ยาก เพราะเด็กมีความฉลาดไหวพริบดีสามารถทำตามคำสั่งด้วยการจับกิริยาท่าทางทำตามผู้ใหญ่ได้ เช่นคนไข้รายหนึ่ง “แม่ไม่เชื่อลูกหูตึง” ด้วยเด็กทำตามคำสั่งตลอด “หมอ” จึงให้สั่งลูกยกมือไหว้สวัสดีจากนั้น “แม่” สะกิดไหล่พร้อมทำท่ายกมือไหว้เด็กเลยทำตามประเด็นสำคัญนี้ “เด็กก่อนวัยเรียนควรรับการตรวจการได้ยินเร็วเท่าไรยิ่งดี” เพื่อวินิจฉัยรับการดูแลรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม “ก่อนปัญหาลุกลามใหญ่โตเกิดผลข้างเคียงตามมา” เรื่องนี้ปีที่แล้วกระทรวงสาธารณสุขได้มี “โครงการตรวจหูให้รู้ว่าหนูได้ยิน” คัดกรองการได้ยินทารกทุกคนตั้งแต่แรกเกิดทั่วประเทศหากปรากฏพบว่า “มีความผิดปกติจะได้รับการดูแลตั้งแต่ตรวจวินิจฉัยรักษาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว” ด้วยการใส่เครื่องช่วยฟังแล้วดูแลต่อเนื่องถึงอายุไม่เกิน 6 เดือน หรือการพิจารณาผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมฟรี เพื่อป้องกันการสูญเสียการได้ยิน ช่วยให้พัฒนาด้านภาษา การพูด สื่อสารสมวัยใช้ชีวิตในสังคมได้ปกติสุข ส่วนวิธีการตรวจนั้น “ใช้การตรวจระดับเซลล์ในรูหู” โดยเครื่องจะบันทึกการตอบสนองอัตโนมัติผลค่า “ผ่าน (PASS)” แสดงว่าการทำงานของหูชั้นกลางและประสาทรับฟังเสียงในหูชั้นในปกติ แต่ถ้าผลตรวจแสดงค่า “REFER” อาจเกิดภาวะมีสิ่งผิดปกติก็ต้องตรวจซ้ำโดยหมอเฉพาะทางดำเนินการวินิจฉัยรักษาต่อไปข้อดีเมื่อ “เด็กได้ตรวจใส่เครื่องช่วยฟังแต่แรกเกิด” จะช่วยได้ยินเสียงกระตุ้นสู่สมองให้เป็นปกติแล้วยัง “ช่วยเด็กไม่เป็นใบ้” เพราะคนเป็นใบ้มีกล่องเสียง ริมฝีปาก และลำคอปกติดี สังเกตจากการเปล่งเสียงเอ๊าะแอ๊ะออกมาได้แต่ “พูดออกมาเป็นคำไม่ได้” ด้วยจากที่ไม่เคยได้ยินเสียงกระตุ้นมาจนถึงอายุ 5 ขวบทำให้สมองส่วนแปลผลภาษาไม่ถูกพัฒนามานานเกินไป “โอกาสการแปลเสียงพูดออกมาได้ก็ยาก” เหตุนี้จึงตอบโจทย์ว่า “ทำไมต้องคัดกรองการได้ยินทารกตั้งแต่แรกเกิด” ให้ทราบสาเหตุเพื่อทำการกระตุ้นการได้ยินด้วยเครื่องช่วยฟังขยายเสียงเหมือนคนปกติ “เด็กก็จะเลียนเสียง” สามารถพูดออกได้ตามมา เมื่อไม่กี่ปีมานี้ “หมอได้ไปเรียนต่อระดับปริญญาโท–ปริญญาเอกในประเทศอังกฤษ” ปัญหาเด็กบกพร่องการได้ยินนั้น “รัฐบาล” มีนโยบายตรวจหูทารกตั้งแต่แรกเกิดมานานกว่า 30-40 ปี เมื่อพบเด็กมีอาการหูตึง หรือหูหนวกก็จะได้รับการรักษากระตุ้นการได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้น ประเทศอังกฤษจึงไม่มีคนเป็นใบ้ด้วยซ้ำ“เพื่อนเรียนปริญญาเอกด้วยกันคนหนึ่งก็มีปัญหาหูหนวกตั้งแต่กำเนิดเหมือนกันเพียงแต่ว่าเขาได้รับการกระตุ้นการได้ยินตั้งแต่เด็กๆด้วยการใส่เครื่องช่วยฟังขยายเสียงทำให้ไม่เป็นใบ้พูดคุยเรียนหนังสือใช้ชีวิตทำงานได้แบบคนปกติ ดังนั้นในอังกฤษจะไม่มีโรงเรียนคนหูหนวกแยกออกจากเด็กนักเรียนทั่วไป” ดร.พญ.นัตวรรณ ว่ายิ่งกว่านั้นปัญหานี้มิได้เกิดเฉพาะเด็กเล็กเท่านั้น แต่ปัจจุบัน “ผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปีมักเจอปัญหาการได้ยินในอัตราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” สิ่งนี้ส่งผลนำมาซึ่งภาวะไม่พึงประสงค์หลายประการ เช่น ภาวะแยกตัวจากสังคม ภาวะซึมเศร้า การทรงตัวพลัดตกหกล้ม สับสน มีอารมณ์ฉุนเฉียว กลายเป็นคนไม่พูดคุยกันเลยก็ได้ภาวะนี้มักทำให้ “คุณภาพชีวิตลดลง” แล้วยังเพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิด “ภาวะสมองเสื่อม” ปัญหาที่มักนึกไม่ถึงอันเกิดจากผู้ป่วยเจอมลพิษทางเสียงเป็นเวลานาน เช่น ผู้ที่ประกอบธุรกิจสถานบันเทิง นักร้อง นักดนตรี โรงภาพยนตร์และโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพ “ยิงปืนเป็นประจำ” มักมีอัตราหูเสื่อมมากกว่าอาชีพอื่นส่วนสาเหตุปัญหาการได้ยินนำไปสู่การเกิด “ภาวะสมองเสื่อมนั้น” มาจากเมื่อมีเสียงคำพูด หรือการสนทนาเข้าไปกระตุ้นสมองน้อยลง สิ่งนี้จะส่งผลให้สมองเสื่อมถอยประมวลผลได้น้อยช้าลงเรื่อยๆเช่นนี้อย่าปล่อยไว้นานเพราะงานวิจัยผู้ป่วยหูตึงพบ “เนื้อสมองฝ่อลง” โดยเฉพาะเนื้อสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแปลผลภาษา เมื่อถึงภาวะนั้นการกระตุ้นสมองกลับมาทำงานประสิทธิภาพดังเดิมอาจใช้เวลามาก เพราะหัวใจการป้องกันคือ “ผู้สูงอายุหูตึง” ต้องได้รักษาด้านการได้ยินให้สมองรับการกระตุ้นจนกว่าจะหายดีย้ำว่าอย่าปล่อย “คนที่รักเจอปัญหาการได้ยิน” มักมีผลข้างเคียงตามมามากมายถ้าไม่แน่ใจไม่ควรนิ่งนอนใจ “ปรึกษาแพทย์ดูแลรักษาแต่เนิ่นๆ” ช่วยไม่ให้ลุกลามจนต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต.