“อัยการสูงสุด” ประสานส่งตัว “จือ หยวน กัว” ตัวการใหญ่ชาว ไต้หวัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยแล้ว หลังตั้งขบวนการใหญ่ที่เมืองดูไบ โทรศัพท์ผ่านอินเตอร์เน็ตข้ามชาติไปหลอกลวงเหยื่อหลายประเทศ ทั้งไทย มาเลเซีย และญี่ปุ่น ถูกทางการไทยออกหมายจับและตำรวจสากลออกหมายแดงไล่ล่าหนีหัวซุก หัวซุนออกจากดูไบไปหลายประเทศ จนมุมที่ประเทศแอลเบเนีย หลังผ่านขั้นตอนส่งผู้ร้ายข้ามแดนถูกส่งกลับมาดำเนินคดีหลายข้อหาในประเทศไทย แฉเป็น ตัวต้นคิดแอบอ้างเจ้าหน้าที่รัฐทั้งศาล ดีเอสไอ ตำรวจ ข่มขู่เหยื่อโอนเงินมายาวนานที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 27 ก.ค. นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า กรณีอัยการได้รับการประสานงานจากประเทศแอลเบเนียให้ไปรับตัวนายจือ หยวน กัว (Mr.Tzu Yuan Kuo) หรืออาเยน ผู้ต้องหาชาวไต้หวัน คดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังทางการแอลบาเนียอนุญาตให้ส่งมอบตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน คณะทำงานอัยการประเทศไทยและองค์การตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ร่วมควบคุมตัวผู้ต้องหาขึ้นเครื่องบินกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย การควบคุมตัวเป็นไปอย่างเรียบร้อย คาดว่าจะเดินทางถึงประเทศไทยช่วงบ่ายวันนี้ที่ท่าอากาศยานจังหวัดภูเก็ตต่อมานายประยุทธ เพชรคุณ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ และอัยการไทยรวม 3 คนกับตำรวจไทยอีก 4 คน นำตัวนายจือ หยวน กัว มาถึงภูเก็ตเวลา 14.00 น. และขึ้นเครื่องมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้ว ถ่ายรูปพิมพ์มือทำประวัติและเข้าสู่กระบวนการควบคุมตัว ก่อนนำตัวมาให้อัยการฟ้องศาล เพราะอัยการออกคำสั่งฟ้องไปแล้ว ถือว่าเป็นการได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากตำรวจไทย แม้ก่อนขึ้นเครื่องมีอุปสรรคบ้าง เช่น เจ้าหน้าที่สายการบินไม่ยอมให้เอาคนร้ายขึ้นเครื่อง แต่ตำรวจดำเนินการต่างๆจนเอาตัวมาได้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายจือ หยวน กัว เป็นรองหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ พฤติการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้จะแบ่งหน้าที่กันทำ หลอกลวงประชาชนทั่วไปไม่เจาะจง สุ่มโทรศัพท์อัตโนมัติผ่านระบบ VOIP (Voice over IP) โทร.หาเหยื่อเพื่อหลอกลวงเงินหลายประเทศ สำหรับเหยื่อคนไทยกลุ่มผู้ต้องหาจะแอบอ้างว่าเป็นเจ้าพนักงาน เช่น เจ้าหน้าที่ศาล พนักงานไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เจ้าหน้าที่ ปปง. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หลอกลวงว่าบัญชีธนาคารของผู้เสียหายพัวพันคดียาเสพติด กลุ่มผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะให้ความช่วยเหลือจนผู้เสียหายหลงเชื่อและให้ข้อมูลส่วนตัวไป เช่น ชื่อนามสกุลจริง เลข 13 หลักในบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคาร หลังจากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาจะให้ผู้เสียหายโอนเงินไปให้ขบวนการดังกล่าวใช้ฐานปฏิบัติการที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โทรศัพท์หลอกลวงเหยื่อในย่านเอเชียทั้งคนไทย มาเลเซีย และญี่ปุ่น เป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักรที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องนายจือ หยวน กัว กับพวกตั้งแต่ปี 2561 ข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ กระทำการอันเป็นอั้งยี่และซ่องโจร ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีหมายจับของศาลจังหวัดพระโขนงและหมายแดงของตำรวจสากลมีรายงานด้วยว่า หลังจากนายจือ หยวน กัว ตัวการใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไต้หวันรายนี้ ถูกตำรวจสากลออกหมายแดง หลบหนีออกจากเมืองดูไบไปหลายประเทศ จนถูกตำรวจสากลและตำรวจแอลเบเนียจับกุมตัวได้ที่กรุงติรานา ประเทศแอลเบเนีย ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.2564 หลังจับกุมผู้ต้องหาได้ ทางการแอลเบเนียแจ้งให้ทางการไทยทราบ เพื่อดำเนินขั้นตอนการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนจนนำมาสู่การส่งผู้ร้ายข้ามแดนครั้งนี้ด้าน พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผบก.ตท.และรองโฆษก ตร.กล่าวว่า กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฐานะสำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลกรุงเทพฯ ประสานไปยังองค์การตำรวจสากลดำเนินการประกาศหมายตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) ให้ติดตามตัวนายจือ หยวน กัว แจ้งไปยังประเทศสมาชิกทั้ง 195 ประเทศให้ทราบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่ทางการไทยต้องการตัวกลับมาดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทย ต่อมานายจือ หยวน กัว ถูกตำรวจสากลแอลเบเนียจับกุมได้ที่กรุงติรานา ประเทศแอลเบเนีย เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2564 ทางการแอลเบเนียแจ้งให้ทางการไทยทราบเพื่อดำเนินการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนรองโฆษก ตร.ชี้แจงเพิ่มเติมว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งรัดประสานงานกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ สืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน อีกทั้งหากนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ อาจทำให้สังคมเกิดความสับสนและเข้าใจผิด ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากทางราชการเท่านั้น