รอยไหม้ที่ค้นพบบนเศษเปลือกไข่โบราณอายุ 50,000 ปี เมื่อหลายปีก่อนในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย นำเสนอเบาะแสแก่นักวิจัยว่าชาวออสเตรเลียกลุ่มแรกๆ มีการปรุงอาหารและกินไข่ขนาดใหญ่ที่ได้มาจากนกที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว นำไปสู่การถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับสายพันธุ์นกที่วางไข่ล่าสุดทีมวิจัยนานาชาตินำโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในอังกฤษ, มหาวิทยาลัยตูรินในอิตาลี และมหาวิทยาลัยโคโลราโดในสหรัฐอเมริกา ได้วางสัตว์ปริศนาตัวนี้บนแผนภูมิวิวัฒนาการ โดยการเปรียบเทียบลำดับโปรตีนจากฟอสซิลไข่กับจีโนมหรือข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดของสายพันธุ์นกยังมีชีวิต ทีมเผยว่า เวลา อุณหภูมิ และเคมีของฟอสซิลต่างเป็นตัวกำหนดว่าจะรวบรวมข้อมูลได้มากเพียงใด ซึ่งเปลือกไข่ทำจากผลึกแร่ที่สามารถดักจับโปรตีนบางชนิดได้อย่างแน่นหนา จะเป็นตัวรักษาข้อมูลทางชีววิทยาแม้จะผ่านเวลานานหลายล้านปี ทั้งนี้ โปรตีนที่สกัดจากเศษเปลือกไข่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในผืนทรายของออสเตรเลีย ยืนยันว่ามนุษย์ยุคแรกสุดของทวีปนี้กินไข่ของนกสูง 2 เมตร หนัก 220-240 กิโลกรัม วางไข่ขนาดเท่าผลแตงหนัก 1.5 กิโลกรัม สูญพันธุ์ไปเมื่อกว่า 47,000 ปีก่อนทีมวิจัยระบุว่า เปลือกไข่เป็นของกลุ่มจีไนออร์นิส (Genyor nis) คือนกขนาดใหญ่บินไม่ได้ ที่ชาวอะบอริจินเรียกว่า “มิฮิรัง” (mihirung) หรืออาจเป็น “ธันเดอร์ เบิร์ด” (Thunder Bird) ที่มีปีกเล็กๆ มีขาขนาดใหญ่ที่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วออสเตรเลียยุคก่อนประวัติศาสตร์โดยอาจอยู่เป็นฝูง นอกจากนี้ การค้นพบนี้ยังบ่งชี้ว่ามนุษย์กลุ่มแรกไม่จำเป็นต้องล่านกขนาดมหึมา แต่อาจบุกเข้าถึงรังและขโมยไข่ยักษ์ของนกมาเป็นอาหาร ซึ่งเมื่อมีการล่าเอาไข่ที่มากเกินไปก็อาจทำให้จีไนออร์นิสสูญพันธุ์นั่นเอง.(ภาพประกอบ Credit : Gifford H. Miller)