การเดินสายเยือนเอเชียครั้งแรกของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มจากเกาหลีใต้และไปจบที่ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 20-24 พ.ค. นายไบเดนทำการเปิดตัวข้อตกลงการค้าฉบับใหม่สำหรับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่เรียกว่า “กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก” หรือ IPEF (อาย-เปฟ) ซึ่งจะมีสมาชิก 13 ประเทศ คือออสเตรเลีย บรูไน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของโลกทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 พ.ค. นายไบเดนได้ประกาศข้อตกลงทางเศรษฐกิจดังกล่าว ระหว่างการเยือนญี่ปุ่น เพื่อประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ “ควอด” 4 ชาติคือสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า IPEF เป็นข้อตกลงที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปรามอิทธิพลจีน และยังเป็นข้อตกลงใหม่เพื่อมาทดแทน “ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นที่แปซิฟิก” หรือ TPP ที่ถูกริเริ่มในสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา แต่สหรัฐฯได้ถอนตัวออกจากทีพีพีในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากการเปิดเผยเบื้องต้นของนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวสหรัฐฯ ระบุว่าข้อตกลง IPEF จะมีเป้าประสงค์ในการเพิ่มการรวมตัวทางด้านเศรษฐกิจ การกำหนดมาตรฐานและกฎเกณฑ์ โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจใหม่อย่างดิจิทัล และเพื่อต้องการให้มั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค การเข้าถึงสินค้าที่เหมาะสม จะมีความมั่นคงและมีความอดทนต่อสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ส่วนกระบวนการเจรจาข้อตกลงครั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลา 12-18 เดือน ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่าถือเป็นกรอบเวลาที่มีความเร่งรัดวันเดียวกัน นายโจ ไบเดน ยังกล่าวถึงประเด็น ความมั่นคง ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำร่วมกับนายฟุมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย และนายแอนโทนี อัลบานีซี นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลีย ที่เพิ่งรับตำแหน่งผู้นำได้เพียง 1 วัน โดยนายไบเดนระบุว่า สหรัฐฯพร้อมจะใช้กำลังทางทหารเพื่อปกป้องไต้หวัน ซึ่งสื่อต่างประเทศระบุว่า เป็นคำกล่าวที่หลุดกรอบนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปกติจะชี้แจงเรื่องไต้หวันด้วยความคลุมเครือ.