ได้รับการกล่าวขวัญให้เป็น “เจ้าพ่อเพนต์เฮาส์เวอร์ซาเช่” ด้วยวัยเพียง 38 ปี จนใครๆต้องถามกันให้แซ่ดว่า หนุ่มตี๋โหงวเฮ้งล่ำซำอย่าง “กี้-สราวุธ เสรีธรณกุล” ร่ำรวยล้นฟ้ามาจากไหน ถึงกล้าทุ่มเงินกว่า 500 ล้านบาท เนรมิตเพนต์เฮาส์เวอร์ซาเช่สุดหรูทั้งหลัง ชนิดที่ว่าเจ้าสัวตระกูลใหญ่ๆของเมืองไทยยังใจไม่ถึงพอ!! “หนุ่มกี้” เป็นทายาทรุ่นที่สามของบริษัท พี.เอส.ซี. สตาร์ช โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัท พี.เอส.ซี. ผู้ผลิตและจำหน่ายสารให้ความหวานจากหัวมันสำปะหลังรายแรกของไทย และรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่รวยติดอันดับเศรษฐีฟอร์บส์ แต่ก็กุมธุรกิจเฉียดหมื่นล้านของครอบครัวไว้ในมือ โดยรับช่วงต่อจากอากงและคุณพ่อ ทำหน้าที่ลุยเรื่องการขาย, การตลาด และจัดซื้อทั้งหมด แบ่งงานกับพี่ชายที่ดูแลโรงงาน และน้องชายเป็นฝ่ายคุมเรื่องการเงิน เป็นความฝันมาตั้งแต่เด็กที่อยากมีบ้านเวอร์ซาเช่ทองอร่ามไปทั้งหลัง แต่ความฝันของ “หนุ่มกี้” คงจะเป็นจริงไม่ได้ในเร็ววัน ถ้าโชคชะตาไม่ลิขิตให้มาปิ๊งรักกับเพนต์เฮาส์ที่สูงที่สุดในย่านทองหล่อบนชั้น 43 และ 44 ของโครงการ “THE MONUMENT Thong Lo” ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 700 ตารางเมตร โอบล้อมรอบทิศด้วยกระจกอินซูเลตสูง 7 เมตร เปิดรับวิวเมืองแบบพาโนรามา 360 องศา ซึ่งถือเป็นเพชรเม็ดงามที่เป็นความภูมิใจของเครือแสนสิริ งานนี้เขายังได้อินทีเรียร์ดีไซเนอร์มือเก๋า ระดับศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรมภายใน) “ดร.คงศักดิ์ ยุกตะเสวี” ซึ่งเคยทำงานออกแบบพระราชวังมาแล้วหลายแห่ง รวมถึงพระราชวังของกษัตริย์บาห์เรนและกษัตริย์อาบูดาบี ที่สำคัญที่สุดคือ “ดร.แดง” เคยทำงานร่วมกับ “จานนี่ เวอร์ซาเช่” เมื่อครั้งเข้ามาเปิดบูติกแรกที่สิงคโปร์ และช่วยเวอร์ซาเช่สร้างบ้านพักในไมอามี... ทุกอย่างจึงแม่นเหมือนจับวางเพราะอยู่ในมือของเซียนตัวจริง “ผมเป็นคนชัดเจน ชอบอะไรเว่อร์ๆ มีภาพในหัวอยู่แล้วทั้งหมดว่าอยากได้เพนต์เฮาส์แบบไหน ผมเตรียมเรฟเฟอเรนซ์ที่ต้องการไว้ทั้งหมด ชัดเจนเลยว่าต้องเป็นเวอร์ซาเช่ทั้งหมดเท่านั้น หลังจากนั้นพี่แดงก็กลับไปทำการบ้าน และกลับมาภายใน 2 เดือน ผมเห็นแบบแล้วถูกใจมาก เพราะทุกอย่างที่ออกมาในบ้านหลังนี้ มันคือตัวผมเลย ใช้เวลาตกแต่งทั้งหมด 6 เดือนเต็ม” ตัวตนจริงๆของ “ไฮโซกี้” เว่อร์วังอลังการเหมือนเวอร์ซาเช่ไหมยอมรับว่าเป็นคนเว่อร์!! ไม่ใช่คนติดดินแน่นอน ถ้าไม่เว่อร์คงไม่สร้างบ้านขนาดนี้ คิดว่านิสัยและไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของผมมีความคล้าย “จานนี่ เวอร์ซาเช่” ในบางอย่าง แต่ผมก็เป็นคนชัดเจนและตรงไปตรงมา ชอบก็คือชอบ ถ้าไม่ชอบไม่ต้องมายุ่ง และไม่เคยเอาเปรียบ ใคร คุณแม่ห่วงผมที่สุดและเตือนมาตั้งแต่เด็กว่า ลูกอย่าเว่อร์นะ...ม้าขอ เพราะไม่อยากให้ชีวิตลูกลำบาก แต่ผมกลับเชื่อว่าคนจะเว่อร์ได้ต้องเก่งนะ ถ้ายูไม่เก่งยูจะเว่อร์ไม่ได้หรอก ยูเว่อร์ยูอาจจะต้องเหนื่อย ซึ่งผมยอมเหนื่อย เพราะผมขยัน เว่อร์แล้วมีความสุข เริ่มหลงรัก “เมดูซ่า” ตั้งแต่เมื่อไหร่ผมเคยสงสัยว่าทำไมเสื้อผ้าเวอร์ซาเช่ถึงได้แพง ตัวเป็นหมื่นเป็นแสน ตอนนั้นยังเรียนมัธยมต้นที่อัสสัมชัญ ผมรวบรวมเงินเก็บบวกกับที่ขอแม่เอาเงินไปซื้อเสื้อเวอร์ซาเช่มาใส่ ใส่แล้วมันสุดนะก็ดูรวยดี ตั้งแต่นั้นซื้อสะสมมาเรื่อยๆ เป็นเสื้อผ้าแบรนด์เดียวที่เก็บแท็กไว้ตั้งแต่ตัวแรก พอสร้างเพนต์เฮาส์เวอร์ซาเช่ เลยเอาแท็กมารวบรวมไว้ในตู้โชว์ ผมชอบเวอร์ซาเช่ถึงขนาดศึกษาประวัติดีไซเนอร์ อยากรู้วิธีคิดของเขาว่าทำไมต้องเป็นหัวเมดูซ่า ทำไมใช้สีทองและสีดำ ทำไมทุกอย่างดูเว่อร์วัง แต่ก็ไทม์เลสเหนือกาลเวลา เวลาดีไซน์อะไรสักอย่างเขาจะใส่ความเป็นตัวเองลงไป เมื่อเขาเป็นคนเว่อร์มาก ชิ้นงานของเขาเลยออกมาเว่อร์วังอลังการมาก จากเด็กไม่เอาถ่านพลิกกลับมาเป็นโล้เป็นพายได้อย่างไรผมเป็นเด็กค่อนข้างเกเร ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชอบเที่ยวซ่าส์ชอบแต่งรถซิ่ง ดื้อขนาดเคยถูกพ่อแม่ส่งตัวไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย แต่ก็โดนสบประมาทว่าคงเรียนไม่จบ และต้องทรานสเฟอร์กลับมาเรียนเมืองไทย เข้าหลักสูตรอินเตอร์ ด้านการตลาด ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สุดท้ายก็เรียนไม่จบจริงๆ เพราะคุณแม่ป่วยเป็นสโตรก ตอนนั้นผมอายุแค่ 22 ปี อาสามาดูแลเรื่องการซื้อขายและการเงินทั้งหมดแทนคุณแม่ เพราะพี่ชายต้องคุมก่อสร้างโรงงาน ส่วนน้องชายเรียนต่อโทที่ออสเตรเลีย ตอนนั้นคุณพ่อโกรธมากไม่คุยกับผมเลย พ่ออยากให้ผมเรียนจบเสียก่อน เพราะกลัวทำงานไม่เป็น ผมเปลี่ยนจากคนใจร้อนเป็นคนใจเย็นสุขุมขึ้น จากเคยเที่ยวเล่นไม่รับผิดชอบอะไรเลย กลายเป็นคนทำงานหนักและเอาจริงเอาจัง ตอนหลังได้กลับมาเรียนต่อจนจบ ต้องขยันขนาดไหนยอมเหนื่อยขนาดไหนถึงใช้ชีวิตเว่อร์วังได้ตามฝันทำงานกับธุรกิจครอบครัวต้องอดทนมากเพื่อให้คนยอมรับเรา ถ้าไม่อดทนสุดท้ายก็ต้องไปผูกเนกไทเป็นลูกจ้างคนอื่น ชีวิตผมไม่กลัวคนเก่งแต่กลัวคนอึด คุณเก่งคุณไม่อดทนคุณก็แพ้ จุดแข็งของผมคือความอดทน ตอนแรกสั่งใครก็ไม่ฟังเพราะเราเป็นเด็ก จนต้องเอาวอลลุ่มเอายอดขายมาให้ได้เยอะที่สุด โชคดีที่ได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่เยอะ ช่วงแรกผมต้องอดทนสุดๆ และใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่เป็นปี ทำงานหนักเอาจริงเอาจังทุกอย่างกว่าจะได้รับการยอมรับจากพ่อ จากวันนั้นมาวอลลุ่มขายโตขึ้นเป็น 1,000% คุณพ่อเลยปล่อยให้ผมดูแลเรื่องการขาย, การตลาด และจัดซื้อทั้งหมด พ่อไม่เคยดุว่าผมเลยตั้งแต่นั้นมา ทุกวันนี้ผมเป็นลูกรักเขา มีคนฝากถามว่าไปเอาความมั่นใจเกินร้อยมาจากไหน(หัวเราะ) ตั้งแต่ผมเล็กๆซินแสเคยทักว่าเลี้ยงกี้ห้ามประหยัดนะ ถ้าประหยัดจะเสียคน เพราะกี้จะคาบเงินเข้ามาในบ้านเยอะมาก พ่อจึงพูดเสมอว่าตั้งแต่ผมเกิดมาทำให้พ่อรวยขึ้นๆ ผมเชื่อว่าถ้าอยากนอนตื่นสายอยากรวยก็ต้องขยันต้องอดทน แม่สอนให้ผมเป็นหินผาที่ยิ่งใหญ่ นิ่งสงบ ดูน่าเกรงขาม เป็นพญาอินทรี ไม่ใช่นกกระจิบนกกระจอก ชีวิตผมมีวันนี้ได้เพราะหม่าม้าเชื่อมั่นในตัวผม เชื่อว่าผมทำได้ เชื่อว่าผมเป็นคนเก่ง เวลาเราเจอปัญหาหนักๆเราต้องแข็งแกร่งต้องผ่านมันไปให้ได้ จะมาทำเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไม่ได้ เดี๋ยวหม่าม้าเสียชื่อ ทุกวันนี้เป็นเสือที่มีเขี้ยวเล็บหรือยังผมค่อนข้างสนิทและรักคุณแม่มาก แม่เป็นไอดอลของผมทุกเรื่อง แม่พูดเสมอว่าลูกเสือย่อมเป็นเสือ พอต้องมาทำงานจริงๆ ผมก็พัฒนาตัวเองตลอดจนมีเขี้ยวเล็บอย่างที่เห็น ผมวางกลยุทธ์เองทุกอย่าง และเริ่มเรียนรู้งานตั้งแต่ระดับล่าง ทุกวันนี้ไม่มีคู่แข่งคนไหนสู้เราได้ ถ้าต้องการมาร์เกตแชร์ทุบได้ทุบจุดแข็งของเราคือทำทุกทางจนคุมต้นทุนการผลิตได้ต่ำที่สุด เราลงทุนเครื่องจักรเยอะมาก จากที่เคยใช้คนงาน 2 กะ 100 คน ปัจจุบันเหลือกะละ 3 คน ห้องคอนโทรลเป็นออโต้หมด เหลือใช้คนคุมแค่คนเดียว เป็นหนุ่มฮอตขนาดนี้ เมื่อไหร่จะสละโสดผมคิดว่าผมน่าจะเจอคนดีนะเพราะผมก็เป็นคนดี (หัวเราะ) ผมใช้ชีวิตมาหนักมากพอแล้ว เคยคิดว่าจะโสดไปให้สุดเลย แต่พอไม่มีแฟนจริงจังก็รู้สึกว่าชีวิตมันขาด ยังไงคงต้องลดความซ่าส์ลงมาหน่อย และหาตัวหลักให้เจอ ผมว่าน่าจะลงตัวเร็วๆนี้นะ หมอดูบอกว่าคู่ของผมถ้าได้ปีมะโรงจะดีมาก หรือไม่ก็ปีเถาะ แต่ยังไงต้องเป็นดาราแหละ เพราะเป็นสเปกผมชัดเจน ท้าทายดี ผมชอบดารา เพราะสวยและดูแลตัวเองดี ไม่จำเป็นต้องมีฐานะ ผมไม่เคยมองเรื่องนั้น อะไรคือความสุขสุดยอดของ “เจ้าพ่อเพนต์เฮาส์เวอร์ซาเช่”อะไรแพงๆผมชอบหมด ชอบกินของดีๆ อร่อยๆ ดื่มไวน์ ดื่มเหล้าดีๆ ผมไม่กินแอลกอฮอล์ถูกๆ ชอบเที่ยวชอบเดินทาง ชอบซุปเปอร์คาร์ มีลัมโบร์กินีใช้แข่งรถอยู่ 3 คัน ที่เหลือเป็นแมคลาเรน, ปอร์เช่ และเฟอร์รารี่ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมตอนนี้คือ ผมต้องการสุขภาพ, เงิน และเวลา ให้ทำอะไรมากกว่านี้เหนื่อยกว่านี้ก็ไม่เอาแล้ว เราอยู่ในจุดที่ไม่จำเป็นต้องเสี่ยง แต่ถึงเวลาต้องใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็นจริงๆ...เว่อร์ให้มันสุดๆไปเลย!! ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ