คลื่นลูกใหม่ที่พร้อมฉายแสงก้าวขึ้นมาเสริมปีกที่แกร่งกล้าของธุรกิจครอบครัว ให้สยายอย่างแข็งแรงด้วยความตั้งใจมั่นที่จะทำงานต่อยอดงานในวิสัยทัศน์ความคิดใหม่ๆของคนรุ่นใหม่ ที่จะขับเคลื่อนไปกับโลกยุคใหม่หนึ่งในบัณฑิตหมาดๆ ที่เพิ่งคว้าปริญญาตรีแล้วมาลุยงานเสริมสร้างประสบการณ์ของตัวเอง คนแรก อินดี้–สพลเชษฐ์ แสนโกศิก ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ของเจ้าแม่นางงาม “ปุ้ย–ปิยาภรณ์ แสนโกศิก” กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็น โกลบอล จำกัด ผู้ถือลิขสิทธิ์จัดประกวด Miss Universe Thailand หนุ่มรุ่นใหม่ที่แม่ไม่ต้องปั้นแต่เฉิดฉายด้วยตัวเอง เข้ามาต่อยอดการประกวดนางงามให้ทันสมัยก้าวเข้าไปสู่โลกธุรกิจการเงินดิจิทัล สร้างมิติใหม่ของการประกวดนางงาม อินดี้-สพลเชษฐ์ สถาปนิกหนุ่มจาก Architectural Association School of Architecture จากประเทศอังกฤษ ที่มีความสนใจในนวัตกรรมและนำมาใช้กับธุรกิจนางงาม จึงได้ก่อตั้งและเป็นผู้บริหารในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุนและนวัตกรรม (Chief Innovation Officer) บริษัท คราวเอ็กซ์ จำกัด ซึ่งผู้บริหารรุ่นใหม่คนนี้เล่าถึงธุรกิจของตัวเองว่า คราวเอ็กซ์ เป็นบริษัทสตาร์ตอัพที่เป็นพันธมิตร กับมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ และมิสยูนิเวิร์ส โกลบอล หน้าที่ที่เราทำคือ เอา content ที่เรามีอยู่แล้วมาแปลงเป็น Digital Asset ในบริบทของ NFT (Non-fungible Token คือทรัพย์สินหรือเหรียญดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว หรือของสะสมที่ไม่ซ้ำใครบนโลกออนไลน์) เป็นการต่อยอดที่เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์ มาบวกกับนวัตกรรม โดยใช้เอนเตอร์เทนเมนต์เป็นตัวตั้ง และสอดแทรกความรู้ด้านการลงทุนและการเงินเข้าไป จะเป็นโอกาสในการขยายฐานของทั้งนักลงทุน และผู้ติดตามนางงาม จึงมีแนวคิดในการทำ MUT NFT หรือ “การ์ดนางงาม” ออกมาพร้อมการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2021 ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก “ปีที่ผ่านมา สิ่งที่มาแรงสุดคือคริปโตเคอร์เรนซี และ เอ็นเอฟที เราเลยเห็นโอกาสตรงนี้ โชคดีที่รู้จักเพื่อนที่เรียนอังกฤษด้วยกัน และพอดีมีผู้บริหารบิทคับเป็นแฟนคลับนางงาม เขาเห็นใน network affect ของคำว่านางงาม ซึ่งนางงามมีความเป็นคอมมูนิตี้สูง เราเลยเห็นโอกาสตรงนี้ เอ็ดดูเคตพวกแฟนนางงาม ไม่ได้ผ่านเนื้อหาแบบนั่งเรียนเพราะโลกคริปโตเคอร์เรนซีค่อนข้างซับซ้อน แต่ว่าเราเหมือนให้เขาผ่านประสบการณ์การประกวดอะไรที่น่าจดจำ จึงร่วมกับมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์สร้างประสบการณ์ใหม่ๆผ่าน Blockchain Technology โดยที่ทำให้แฟนนางงามเข้าถึง Digital Asset ได้ง่ายขึ้น อย่างการ์ดนางงาม MUT NFT ซึ่งได้มีการซื้อขายต่อกันหลังจากที่เราแจกฟรี นอกจากนี้ เราพยายามทำ NFT ให้มาอยู่ในโลกเป็นจริง เช่น ใครสะสม NFT การ์ดใดการ์ดหนึ่ง จะได้ทานข้าวกับนางงามคนนั้น เป็นต้น ทีแรกผมก็ค่อนข้างกังวลมาก เพราะว่าเรื่อง NFT เรื่องคริปโตเคอร์เรนซี มันเป็นเรื่องใหม่ และแฟนนางงามเขาไม่ใช่สายเทรดกันทุกคน เขาจะเอนจอยความบันเทิงมากกว่า เลยกังวลมากว่าจะเอาเรื่องการเงินมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ผมเลยลองทำดู แต่ว่าพอทำก็ช็อกมาก เพราะวันแรกบิทคับต้องทำการซื้อเพิ่มเลย มีคนเข้ามา 13,000 คน มารอกดการ์ด พวกนี้ทั้งแฟนนางงามและสาย NFT ก็ถือว่าคนไทยเรียนรู้เร็ว เกาะเทรนด์โลกไปเหมือนกัน แต่ตอนนี้มันแค่ยังเป็นกลุ่มจำนวนน้อย ต้องทำให้เป็น network affect ให้มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆครับ” หนุ่มไฟแรงเล่าถึงโปรเจกต์ที่ทำนอกจากนี้ อินดี้ บอกถึงแผนงานในอนาคตอีกว่า ตอนนี้เรากำลังทำ Avatar project ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นก้าวเข้าสู่โลกแห่ง Metaverse ซึ่งตัวแรกที่เราปั้นคือ Meta Anchilee Scott Kemmis 001 เป็นอวตารโปรเจกต์ “แอน-แอนชิลี สก๊อต เคมมิส” มิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2021 ในเวอร์ชัน Metaverse ซึ่งเรากำลังมีโปรเจกต์ปั้น 20,000 คาแรกเตอร์แล้ว หวังว่าคาแรกเตอร์พวกนี้จะสามารถเอาไปปลักกิ้งในแพลตฟอร์มต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นเกมหรืองานศิลปะ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง วัย 24 ปี คนนี้บอกถึงความรู้สึกโชคดีที่มีครอบครัวเป็นลมใต้ปีก คอยสนับสนุนให้ได้บินและมีโอกาสแสดงฝีมือว่า “ผมจบปริญญาตรี ทีแรกตั้งใจจะกลับไปต่อโททางด้านสถาปัตยกรรม แต่ว่าผมได้รับโอกาสตรงนี้ ก็อยากลองลุยเลยครับ เลยจะลุยตรงนี้ต่อสู้ต่อไป การได้มาทำงานต่อยอดธุรกิจคุณแม่ ผมรู้สึกดีใจมากเพราะว่าความรู้ที่สะสมมาก็ไม่เสียเปล่า ผมได้เอามาทำจริง ได้เอามาใช้จริง ผมเอนจอยกับงาน มันมีความท้าทาย มีความกดดันหลายอย่างก็จริง แต่มันก็มีความภูมิใจ เหมือนเราปลูกต้นไม้ของเราเอง ไม่ได้ไปปลูกต้นไม้ของคนอื่น เราได้เห็นความเจริญเติบโต โดยผมจะทำอย่างเต็มที่ ก้าวต่อไปผมพยายามจะสร้าง network affect มอง NFT เป็นการสร้างคอมมูนิตี้ มีการสร้างแบรนดิ้งที่สำคัญ การสร้างคอมมูนิตี้ที่แฟนๆเราสามารถอยู่ในโลกดิจิทัลและโลกที่เป็นจริงได้ครับ” คลื่นลูกใหม่ของวงการดิจิทัลบอกถึงความตั้งใจทำงานส่วนอีกหนึ่งหนุ่มหน้าหยกที่ก้าวเข้ามาเรียนรู้งานธุรกิจของครอบครัว สร้างความแข็งแกร่งของตัวเอง เพื่อรับไม้ต่อเป็นผู้บริหารรุ่นที่ 3 ของอาณาจักรธุรกิจเครื่องประดับ บิวตี้ เจมส์ ต่อจากลุงและพ่อ “พูม–ภานุกร ศรีอรทัยกุล” ทายาทคนโตของ คุณพ่อหนึ่ง–สุริยน ศรีอรทัยกุล ซึ่ง พูม–ภานุกร เล่าว่า ตอนนี้เรียนจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา เลยได้เข้ามาเรียนงานธุรกิจเครื่องประดับของที่บ้านอย่างเต็มตัวและจริงจัง โดยทำงานบริษัทบิวตี้ ไดมอนด์ ที่อยู่ในเครือของบิวตี้ เจมส์ เป็นบริษัทรีเทล มีเคาน์เตอร์ขายอยู่ทั่วประเทศ 14 สาขา และขายทางออนไลน์ ซึ่งเมื่อเข้ามาได้สัมผัสงานจริงๆจังๆ จึงได้รับรู้ถึงเสน่ห์และความท้าทายในเนื้องาน “ตอนเด็กๆผมไม่ชอบอัญมณีเลย ผมเพิ่งจะมาชอบเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ผมชอบเพราะผมเรียนรู้ พอเข้ามาทำก็สนุก ตอนนี้ผมทำงานแบบผิดถูกลองไปก่อน ที่ชอบเพราะผมได้ศึกษา อย่างเดือนที่ผ่านมา ผมไปนั่งที่แผนกจัดซื้อของบิวตี้ เจมส์ เขาจะสอนให้ดูเพชร mass production ต้องใช้แบบนี้ เพชรนี้มาจากเมืองไหน รัฐไหน เขาเจียรอย่างไร มีตำหนิอะไรบ้าง เพชรแต่ละที่จะมี history ของมันอยู่ ผมรู้สึก value มากๆ ราคาเพชรและราคาทอง เป็นอะไรที่ strong value ดีมากๆ สามารถส่งต่อได้ และผมสนุกใน part ที่เรียนรู้เทคนิคการทำอัญมณี กว่าจะออกมาเป็นชิ้นจริงๆได้ มันต้องทำอะไรบ้าง เช่น การทำแหวน ต้องเขียนโครงสร้าง กว่าจะเป็นรูปร่าง ทำให้ผมรู้สึกชื่นชมกับชิ้นงานต่างๆ และผมว่าเพชรมีอะไรที่มากกว่าที่เห็น แล้วทำไมคนถึงยอมจ่ายได้ในราคาที่สูงเพื่อครอบครองครับ” ผู้บริหารรุ่นใหม่ของบิวตี้ เจมส์ บอกแม้เพิ่งจะเข้ามาเรียนรู้งาน แต่ พูม–ภานุกร ก็มีไอเดียที่อยากต่อปีกความแข็งแรงของธุรกิจครอบครัว “ส่วนตัวผมอยากทำรีเทล mass production retail และอยากต่อยอด คือเน้นส่งออกเป็น manufacturing ส่งออก คุณพ่อจะเป็นตลาดรีเทล ไฮเอนด์ ผมอยากทำตลาด retail mass เรามีบิวตี้ ไดมอนด์ แล้วต่อไปอาจจะสร้างแบรนด์ใหม่ คนละมุมมองไหม หรือจะไปต่อกับแบรนด์นี้ ซึ่งผมอยากเห็นตลาดทั้ง 3 แบรนด์ของเราแกร่งมากขึ้น ทั้งตลาดไฮเอนด์ คือ ทำเป็นคล้าย คาร์เทียร์ แฮร์รี่ วินสตัน เป็นแบรนด์ไฮเอนด์ บาย บิวตี้ เจมส์ ที่ขายให้ลูกค้าในเมืองไทยและทั่วเอเชีย และแบรนด์ที่ 2 คือ แบรนด์ บิวตี้ ไดมอนด์ เป็น mass production ที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เป็นอะไรที่ทุกคนสามารถใส่สวยงามได้ ในราคาที่ไม่แพงเกินไป และสุดท้ายคือ ตลาดส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น” วิสัยทัศน์ที่แจ่มชัดของทายาทบิวตี้ เจมส์. พูม-ภานุกร