นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้ทำการเก็บสถิติความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวจากการนำเสนอข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ พบว่า ในปี 2561 มีข่าว พ่อแท้ๆข่มขืนลูกตัวเอง จำนวน 3 ข่าว จากนั้นพอมาปี 2563 ครึ่งปีแรกซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และมีการล็อกดาวน์ ประเทศ จำกัดการเดินทาง จำกัดการทำกิจกรรม ทำให้ครอบครัวต้องอยู่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากขึ้น โดยพบว่า พ่อแท้ๆได้คุกคามและละเมิดสิทธิข่มขืนลูกตนเองมากขึ้นถึง จำนวน 9 ข่าว สะท้อนวิธีคิดของความเป็นพ่อที่มีอำนาจเหนือกว่า หรือชายเป็นใหญ่ จนนำไปสู่การกระทำความรุนแรงกับบุคคลในครอบครัว ทั้งนี้ ในกรณีการแสดงความรักของพ่อต่อลูกโดยเฉพาะเด็กโตซึ่งอยู่ในช่วงวัยเรียนรู้นั้น ต้องพึงระวังระหว่างการแสดงออกด้วยความรักกับการคุกคามทางเพศ เพราะพฤติกรรมบางอย่างที่เกินเลยถึงขั้นสัมผัสอวัยวะหวงห้ามนั้น อาจเป็นการละเมิดสิทธิเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก จึงถือว่าเด็กไม่ปลอดภัย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเข้าไปดูแลและคุ้มครองไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ขณะเดียวกันก็การกระทำดังกล่าว มีความเสี่ยงที่อาจทำให้เด็กสับสนและเรียนรู้ผิดๆ ได้ว่าการสัมผัสร่างกายเป็นการแสดงออกถึงความรัก ไม่ใช่การละเมิดสิทธิ ซึ่งมีความน่าเป็นห่วงและต้องระวังอย่างยิ่งด้าน พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า การให้ความรักความอบอุ่นในครอบครัวเป็นเรื่องดีและถูกต้อง แต่การแสดงความรักมีรูปแบบต่างกันในแต่ละครอบครัว คำถามคือขอบเขตแบบไหนที่จะไม่เป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ทั้งนี้ ผู้ปกครองจำเป็นจะต้องสอนให้เด็กรู้จักขอบเขตของร่างกาย ว่าเป็นสิทธิของตัวเองที่จะต้องปฏิเสธไม่ให้คนอื่นมาสัมผัสร่างกายได้ โดยเฉพาะพื้นที่อ่อนไหว คือ หน้าอก บั้นท้าย อวัยวะเพศ และแก้ม ต้องสอนให้รู้ว่าไม่ใช่จะให้ใครมาจับต้องได้ เพราะจะนำมาสู่การล่วงละเมิดทางเพศได้ในที่สุด ที่สำคัญสิ่งที่ต้องฝากพ่อแม่ในการเลี้ยงลูก คือ การให้ความรักกับเด็กเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันต้องอยู่บนพื้นฐานของการสอนให้เด็กรู้จักขอบเขตในการดูแลร่างกายตัวเอง เพราะจะเป็นความปลอดภัยให้เด็กในอนาคตที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว ลูกจะต้องดูแลตัวเองให้ปลอดภัยได้.