ในหนังสือนามานุกรมประวัติศาสตร์ไทย (รองศาสตราจารย์ดนัย ไชยโยธา สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ พ.ศ.2548) อธิบายคำ “ตำรวจ” ว่า มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991-2031) ตำรวจครั้งนั้น แบ่งออกเป็น ตำรวจภูธร และตำรวจภูบาลดังหลักฐานปรากฏในบทพระไอยการตำแหน่งพลเรือนหลวงวาสุเทพ เจ้ากรมมหาดไทย ตำรวจภูธร ศักดินา 1000 ขุนพิศฉลูแสน ปลัดขวา ศักดินา 600 ขุนเพชรอินทรา ปลัดซ้ายศักดินา 600หลวงเพชรฉลูเทพ เจ้ากรมมหาดไทย ตำรวจภูบาล ศักดินา 1000 ขุนมหาพิไชย ปลัดขวา ศักดินา 600ขุนแผนสะท้าน ปลัดซ้าย ศักดินา 600ครั้นเวลาล่วงมาถึงวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้มีพระบรมราชโองการ ให้รวมกรมตำรวจภูธร กับกรมตำรวจตระเวน เข้าเป็นกรมเดียวกันเรียกว่า กรมตำรวจภูธร และกรมพลตระเวนและทรงพระกรุณาโปรดเกล้า แต่งตั้ง พลโท พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ เจ้ากรมตำรวจภูธรเป็นเจ้ากรมปี พ.ศ.2458 นั้นเอง ได้มีการเปลี่ยนชื่อ กรมตำรวจภูธรและกรมตำรวจนครบาล ยกฐานะเจ้ากรมเป็นอธิบดีปี พ.ศ.2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้รวมกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงนครบาลเข้าเป็นกระทรวงเดียว เรียกว่ากระทรวงมหาดไทย กิจการทั้งหมดจึงขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยปี พ.ศ.2469 ได้มีประกาศเปลี่ยนชื่อ กรมตำรวจภูธร และกรมตำรวจนครบาล เป็นกรมตำรวจภูธร แต่ยังคงแบ่งงานเป็นสองส่วน คือตำรวจภูธร และตำรวจนครบาล เหมือนเดิมครั้นถึงปี พ.ศ.2475 ได้มีประกาศเปลี่ยนชื่อเป็นกรมตำรวจ ปี พ.ศ.2542 ได้มีการเปลี่ยนชื่อกรมตำรวจ เป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรีอ่านเรื่องความเป็นไปตำรวจจบ...ผมก็นึกถึงขุนแผนสะท้าน พระเอกในกลอนเสภา...ขุนช้าง ขุนแผนคนไทยรู้จักขุนแผนดี นอกจากเก่งคาถาอาคม ยังมีม้าสีหมอกไว้ขี่ มีดาบฟ้าฟื้นไว้พิฆาต ทั้งยังมีกุมารทอง ไว้เป็นสายสืบพิเศษประจำตัวที่จริงขุนตำรวจ ในทำเนียบโบราณก็มีหลายขุน แต่ทำไม ขุนแผนสะท้าน จึงดังกว่าในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยกกองทัพไปตีเมืองตองอู เมื่อ พ.ศ.2135 พระราชพงศาวดารกรุงสยาม กล่าวว่า “เสด็จโดยชลมารคขึ้นเหยียบชัยภูมิ ในตำบลเอกราช ให้ขุนแผนสะท้านฟันไม้ข่มนาม”ชื่อขุนแผนสะท้าน โดยนัยถูกใช้เป็นมงคลในการในพิธีข่มนามศัตรูแต่เมื่อมาถึงเหตุการณ์วันนี้ เอ่ยชื่อ ขุนแผนสะท้าน ผู้คนคงต้องนิยามความหมายใหม่ หากขุนแผนหมายถึงตำรวจทั่วไป งานคลุมหัวฆ่าผู้ต้องหาที่นครสวรรค์...กำลังเป็นจุดเปลี่ยนระบบตำรวจครั้งใหญ่ชื่อกรมกอง คงไม่สำคัญเท่ากับระบบตำรวจควรไปขึ้นอยู่กับใครนี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ขุนแผนที่ใช้กรมตำรวจเป็นทำเลขุดทอง สะท้านกันทั้งบ้านเมืองเขาเดาก็คงแค่เดากันนะครับ ตำรวจที่เคยเป็นลูกมือนักการเมือง อยู่กับมหาดไทย ก็ไม่เอาไหน อยู่กับนายกฯ ยิ่งนายกฯที่มาจากทหาร ยิ่งไปกันใหญ่ กำลังจะถูกดึงลงมาเป็นตำรวจของประชาชนโอ๊ย! ถ้าถึงขั้นนี้ ผมว่าไม่ใช่เรื่องเดา คงเป็นได้แค่ฝันกลางวันตลอดชีวิตนักข่าว ผมได้ยินคำปฏิรูปตำรวจ บ่อยๆจนสงสัย เขาคงใช้คำผิดไป เพราะพูดๆกันแล้ว โอ้โลมปฏิโลมกันอยู่นั่นแล้ว ไม่เคยปฏิรูปกันเป็นรูปเป็นร่าง จนน่าจะใช้คำว่า ปฏิโลมตำรวจไปเสียเลย.กิเลน ประลองเชิง