แม้ว่าแนวโน้ม “ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอก 3” เริ่มมีตัวเลขลดลงแล้วแต่ก็ไม่อาจวางใจเต็มที่ได้ เพราะยังเจอ “ผู้ป่วยหนัก” รักษาตามโรงพยาบาลอย่างท่วมท้น ส่งผลให้มี “ผู้เสียชีวิต” เพิ่มขึ้นรายวันแต่ด้วยเหตุว่า “โควิด–19 เป็นโรคใหม่” มีหลายเรื่องที่ยังไม่รู้ “สังคมไทย” ต่างสับสนเกิดความวิตกกังวล และความหวาดระแวงจนทำให้ “ผู้ติดเชื้อ” เป็นเสมือน “ตัวประหลาดถูกมองเป็นพาหะแพร่เชื้อ” กลายเป็นการเหมารวมในการเลือกปฏิบัติผลักให้แยกจากคนอื่นด้วยซ้ำครั้นเมื่อ “เสียชีวิตแล้ว” การนำร่างอันไร้วิญญาณ “ประกอบพิธีฌาปนกิจศพ” กลับต้องเผชิญความลำบาก เพราะวัดบางแห่งไม่รับประกอบพิธีฌาปนกิจศพจากติดเชื้อโควิด-19 เช่น วัดแห่งหนึ่งในอำเภอมหาสารคาม นำป้ายขนาดใหญ่มาติดอันมีใจความว่า “ไม่รับประกอบพิธีฌาปนกิจศพคนที่ตายจากโควิด–19”กลัวว่า “ศพผู้เสียชีวิต” จะนำเชื้อแพร่สู่ “ชุมชน” กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก กระทั่ง “สนง.พระพุทธศาสนาแห่งชาติ” ต้องส่งหนังสือแจ้งเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ สร้างความเข้าใจกับเจ้าคณะจังหวัด ทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย และแจ้งทุกวัดให้อนุเคราะห์จัดพิธีฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพราะการระบาดระลอกนี้มีผู้ติดเชื้อมากที่ยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆดังนั้น “จำเป็นต้องนำศพฌาปนกิจโดยเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค” ในการดูแลศพผู้เสียชีวิตนี้แต่ละโรงพยาบาลจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และการเผาศพใช้ความร้อน 800-1,000 องศาฯ ทำให้เชื้อโรคไม่อาจแพร่กระจายได้ อีกทั้งในทุกขั้นตอนจะมี “บุคลากรสาธารณสุข” เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งยังได้รับคำแนะนำจาก “กระทรวงสาธารณสุข” ในเรื่องการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ต้องถูกบรรจุด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% ช่องทาง เช่น ปาก หู จมูก และฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อทั้งด้านหน้า ด้านหลังทุกซอกทุกมุมของร่าง และนำร่างใส่ถุงซิปล็อก 3 ชั้น มีการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อทุกชั้นอย่างรัดกุมสูงสุดการเคลื่อนย้าย “ร่างใส่โลงศพมาฌาปนกิจ” จะไม่เปิดซิปล็อกเด็ดขาด ส่วนการเผาศพใช้ความร้อน 800 องศาฯขึ้นไป ที่จะไม่เปิดประตูเตาเผาศพจนกว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วถือว่าเชื้อถูกเผาทำลายไปหมด สามารถเก็บกระดูกเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลต่อไป ทุกขั้นตอนทำตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เชื้อหลุดรอดได้ ทว่า...“วัดเปิดรับพิธีฌาปนกิจผู้ที่เสียชีวิตจากโควิด–19” ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล เช่น “วัดเสมียนนารี กทม.” รับมาตั้งแต่ปี 2563 “ญาติของผู้เสียชีวิต” ติดต่อมาต่อเนื่องแต่ “วัดก็มิได้ปฏิเสธ” แต่มีเงื่อนไขต้องทำพิธีฯ ให้เสร็จสิ้นก่อนสิบโมงเช้า เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจศพอื่นได้ด้วย ปัจจุบันเผาศพไปแล้ว 4 ศพและยังมี “วัดลาดปลาเค้า กทม.” ก็รับประกอบพิธีฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นการแบ่งเบาความทุกข์ของญาติโยมในช่วงขณะที่มีโรคระบาดร้ายแรงนี้ พระมหาเขมานันท์ ปิยสีโล เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า และเจ้าคณะเขตลาดพร้าว บอกว่า ตอนนี้เปิดรับประกอบพิธีฌาปนกิจผู้เสียชีวิตจากติดเชื้อตามปกติเบื้องต้น “ญาติโยม” ต้องติดต่อวัดก่อน เพื่อการจัดเตรียมสถานที่ และแจ้งหน่วยงานราชการ ส่วนขั้นตอนปฏิบัติเป็นไปตามกฎระเบียบกระทรวงสาธารณสุขให้คำแนะนำอย่างเคร่งครัด ในส่วน “ผู้เสียชีวิต” จนท.โรงพยาบาล มีการบรรจุถุงซิปหนา 3 ชั้น และฉีดน้ำยาแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้ออย่างดีอยู่แล้วทั้งยังมี “กติกา” ต้องไม่มีการนำศพเก็บไว้ค้างคืนสวดอภิธรรม ไม่มีการอาบน้ำ ไม่อนุญาตให้สัมผัสจับต้องศพ หรือเปิดถุงซิปศพออกเด็ดขาด ทำให้ “พระผู้ประกอบพิธีฌาปนกิจ” มีความมั่นใจความปลอดภัยยิ่งขึ้นนั่นหมายความว่า “เมื่อนำศพมาถึงวัด” ต้องนำเข้าเตาเผาทันที โดยนิมนต์พระ 4 รูป ประกอบพิธีสวดหน้าไฟในศาลา ส่วน “ญาติโยม” ที่มาร่วมพิธีฯ ต้องจำกัดให้น้อยที่สุด และเตรียมสถานที่รับรองไว้อีกศาลา ที่ใช้เวลาทำพิธีฯ ไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง เมื่อทุกคนทยอยกลับ “จนท.สาธารณสุข” ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโดยรอบทั้งหมดอีกครั้งประการต่อมา...ถ้าหากประกอบพิธีฌาปนกิจเสร็จสิ้นแล้วก็ถือว่า “เชื้อโรคถูกเผาทำลายหมด” สามารถเก็บกระดูกนำไปบำเพ็ญกุศลต่อไปได้ เพราะปกติแล้ว “ความร้อน 60–70 องศาฯ สามารถฆ่าเชื้อโควิด–19” ได้แล้ว แต่เตาเผาศพใช้ความร้อนสูง 700-800 องศาฯ “เชื้อไวรัส” ก็คงไม่หลงเหลือซากด้วยเช่นกันปัจจุบันประกอบพิธีฌาปนกิจผู้ติดเชื้อแล้ว 2 ราย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เผาศพไป 1 ราย สาเหตุที่ต้องปรับขั้นตอนก็มีการอธิบายให้ “ญาติผู้เสียชีวิตเข้าใจเสมอ” เพราะสถานการณ์โรคระบาดนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด–19 อย่างเคร่งครัดประเด็น...“ข้อกังวลไม่มีพิธีงานศพ” ส่งวิญญาณให้ผู้วายชนม์สู่สุคติภูมินั้น อธิบายว่า ในทางพระพุทธศาสนา “ไม่มีบทพุทธบัญญัติ” หลักปฏิบัติเกณฑ์ตายตัว เพราะเป็นแนวคิดแต่ละแห่งสืบต่อกันมา ในส่วนไปสู่สุคติหรือภพภูมิที่ดีโลกหน้าหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับพิธีนี้ แต่อยู่ที่ “ผลบุญคุณงามความดี” เมื่อครั้งมีชีวิตมากกว่า ในส่วน “การประกอบพิธีงานศพ” มีความสำคัญเกี่ยวกับ “การให้เกียรติ แก่ผู้เสียชีวิต” อันเป็นลักษณะความรู้สึกของคนเคยรักผูกพันกัน จึงอยากทำสิ่งที่มี “คุณค่าให้คนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย” แต่ด้วยโรคระบาดเช่นนี้ “ผู้เสียชีวิต” ก็ได้จากเราไปแล้ว ดังนั้น ควรต้องรักษา “คนมีชีวิตอยู่” ให้ปลอดภัยยาวนานที่สุดด้วยการรับผิดชอบต่อสังคม ปฏิบัติตาม “หน่วยงานรัฐ” แนะนำป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดต่อผู้อื่น มิเช่นนั้นอาจเป็นปัญหาต่อสังคม สร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่น สิ่งนี้ยิ่งกลายเป็น “บาปแก่ผู้เสียชีวิต” ตามมาด้วยซ้ำเพราะในยามปกติ “จัดพิธีงานศพได้อย่างเต็มที่” ตอนนี้มี “โรคระบาด” จำเป็นต้องปรับประยุกต์เปลี่ยน “พิธีงานศพ” เข้ายุคสมัยด้วยการ “ทำบุญอย่างอื่นแทนก็ได้” ดังนั้น คำแนะนำแพทย์ปลอดภัยเป็นผลดีที่สุดเมื่อเหตุการณ์ปกติก็ยังสามารถนำ “กระดูกอัฐิผู้เสียชีวิต” ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ตามหลักความเชื่อ มีตั้งแต่ทำบุญครบ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน ที่ถือเป็นพิธีสำคัญต่อ “ดวงวิญญาณผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว” ได้เช่นกัน เพื่อให้หมดห่วงผู้อยู่เบื้องหลังที่ยังมีชีวิตอยู่ และไปสู่สุคติ หรือภพภูมิที่ดีในโลกหน้าก็ได้เช่นนี้เอง “ญาติโยมของผู้เสียชีวิต” ต้องทำใจยอมรับว่า “ทั่วโลก” เผชิญปัญหา “โรคระบาดรุนแรง” ต้องมองหลักความเป็นจริง “ทุกคนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย” ในสิ่งที่เกิดกับ “ผู้เสียชีวิตก็เป็นเหตุสุดวิสัย” เพราะตัวเรา แพทย์ พยาบาล ต่างทำหน้าที่สุดความสามารถเหนี่ยวรั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จดังนั้นต้องทำใจ “ระลึกถึงบุญกุศลคุณงามความดี” ที่เคยกระทำมาทั้งหมดอุทิศให้แก่ “ผู้เสียชีวิต” ล่วงหน้าไปก่อน อีกทั้งต้องมีกำลังใจใน “การต่อสู้ชีวิตให้รอด” อันจะเป็นผลดีต่อตัวเราและบุคคลรอบข้างตามมาจริงๆแล้ว...“บันทึกพระพุทธประวัติ” เคยมีโรคระบาดเกิดขึ้นเช่นกัน “พระพุทธเจ้า” มีคำสอนระมัดระวังการกิน ความเป็นอยู่ทางกายและทางใจ ทั้งให้พิจารณาสามัญลักษณะ “อนิจจัง คือความไม่เที่ยง ทุกขัง คือความทุกข์ อนัตตา คือสิ่งที่ไม่สามารถบังคับควบคุมได้”แต่ว่า “มนุษย์แม้รู้แล้ว” ประสบเจอ “ความทุกข์ และการพลัดพรากของรัก” ย่อมทุกข์ธรรมดาที่ไปห้ามไม่ให้คนทุกข์ใจได้ยาก ถ้า “ทำใจให้รู้ถึงทุกข์แล้ว” เวลาจะช่วยรักษาให้เข้าใจ “สิ่งประสบเจอ” ตามมาเองย้ำต่อว่า “พระพุทธเจ้า” ท่านบอกชัดเจนว่า “โลกธรรม 8 คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทาว่าร้าย ทุกข์” ในเวลา “สุข” คือการไม่มีโรคภัยให้มีความสุขอย่างเต็มที่ เมื่อมี “ทุกข์” หมายถึงปัญหาที่ “ทั่วโลกมีโรคระบาด” ต้องเจอชะตากรรมร่วมกันนี้ ถ้าประเทศใดมีระเบียบวินัยก็ย่อมแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นโดยเฉพาะ “น้ำจิตน้ำใจคนไทย” ที่หามีในประเทศอื่นไม่ได้ สังเกตจากการระบาดโควิด-19 ทุกคนต่างให้กำลังใจกันด้วย “การมอบสิ่งของจำเป็นช่วยเหลือกัน” จึงเป็นภาพแห่งความงดงามท่ามกลางความทุกข์ของปัญหารุมเร้านี้ เชื่อว่าไม่นานนี้ “รัฐบาล” คงแก้ไขให้คลี่คลายรักษาชาวบ้านดูแลผู้เดือดร้อนได้ทั่วถึงแน่นอนสุดท้าย “เรา” กำลังเผชิญเหตุการณ์ไม่ปกติ “บุคคลจากกันไป” ก็เป็นเรื่องผิดปกติ ตอนนี้ควรนึกถึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตไปก่อน เพื่อความสบายใจ ประคองจิตใจให้สู้ชีวิตกันต่อไปนะโยม...