คนร้าย แก๊ง “อ้วน-ผอม” ใช้อาวุธปืนก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ ช่วงดึกวันที่ 17 เม.ย. คนร้าย 2 คนใช้อาวุธปืนจี้บังคับพนักงานผู้หญิง 3 คนที่อยู่ร้านโลตัส เอ็กซ์เพรส สาขา 2543 เขตท้องที่ สน.มีนบุรีตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า คนร้ายขี่รถ จยย.มาจอดปากซอยถนนสามวา ซอย 7 ห่างจากที่เกิดเหตุ 20 เมตร ก่อนเดินย้อนมาก่อเหตุในร้านที่มีพนักงานหญิงอยู่เพียง 3 คน คนร้ายชายร่างท้วมสวมเสื้อส้มใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้พนักงานหญิงเปิดลิ้นชักเก็บเงิน และกวาดเอาเงินพร้อมบุหรี่ 22 ซองคนร้ายรูปร่างผอมสวมเสื้อดำ ใช้กำลังบังคับพนักงานหญิงอีกคนปิดประตูร้าน ก่อนบังคับพนักงานมายืนคุมเชิงเคาน์เตอร์ร้านระหว่างก่อเหตุคนร้ายใช้เวลา 2 นาที กวาดเงินสดไป 10,286 บาท และบุหรี่ ก่อนหลบหนีเป็นคดีที่ทำให้คนหวาดกลัวพล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. สั่งให้ พล.ต.ต.อรรถวิทย์ สายสืบ ผบก.น.3 พ.ต.อ.สุรพล ก้อมน้อย ผกก.สน.มีนบุรี เร่งรัดจับกุมคนร้าย ฝ่ายสืบสวน สน.มีนบุรี ใช้เวลาไม่นานรวบตัว นายปรัชญา ดิษฐจู อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21/1 ซอยหทัยราษฎร์ 25 เขตมีนบุรี หลังหนีออกจากพื้นที่ แล้วย้อนกลับเข้าบ้านพักจับกุม นายชานนท์ สรเพ็ชร อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/1 หมู่ 3 ต.หนองบัวบาน อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ของกลางรถ จยย.ฮอนด้า ทะเบียน 2 ขก 6162 กรุงเทพมหานคร มีดยาว 15 นิ้ว เงินสด 7,750 บาท และบุหรี่ 18 ซองปิดคดีได้อย่างรวดเร็วผู้ต้องหารับว่านายชานนท์ชักชวนให้นายปรัชญาไปร่วมลงมือก่อเหตุอ้างว่าเพราะต้องการเงินไปใช้จ่ายและจ่ายหนี้ค่าหอพักที่ติดค้างไว้หลายเดือน ส่วนที่เลือกร้านสะดวกซื้อ เพราะเห็นว่าเวลานั้นไม่มีคนไปใช้บริการและรู้จักเส้นทางจุดนั้นเป็นอย่างดีตรวจสอบไม่พบประวัติก่อคดีอาชญากรรม แต่เจ้าตัวยอมรับว่าเคยมีพฤติกรรมทำร้ายร่างกาย และก่อเหตุทะเลาะวิวาทสมัยเรียนหนังสือ ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ คนร้ายอ้างว่าเป็นปืนบีบีกัน ได้นำไปทิ้งแล้วพฤติกรรมของแก๊งวัยรุ่น “อ้วน-ผอม” ที่เลือกก่อเหตุในร้านสะดวกซื้อ ด้วยข้ออ้างง่ายๆว่าติดหนี้ค่าเช่าห้องพัก และที่เลือกลงมือก่อเหตุร้านสะดวกซื้อในช่วงดึกเพราะไม่ค่อยมีลูกค้าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ด้วยปัจจุบันร้านสะดวกซื้อหลายรูปแบบกระจายอยู่ทั่วๆไปแทบทุกชุมชนที่มีร้านสะดวกซื้อเปิดขายตลอด 24 ชั่วโมง ยากเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดกำลังเข้ามาดูแลได้ทั่วถึงทุกพื้นที่มีเหตุเกิดบ่อยๆครั้ง ยิ่งสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ โอกาสที่จะเกิด “โจรจำเป็น” ที่ย่อมเสี่ยงก่อคดีเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอด เจ้าของกิจการน่าจะมาร่วมกันคิดหามาตรการป้องกัน ไม่ใช่โยนให้เป็นหน้าที่ตำรวจอย่างน้อยชีวิตพนักงานในร้านที่สุ่มเสี่ยง.“เพลิงพยัคฆ์”pluengpayak@thairath.co.th