นับแต่การระบาดโควิด-19 ผลกระทบ “เศรษฐกิจถดถอย” ซ้ำซ้อนทรุดตัวรุนแรง ไม่มีวี่แววจะฟื้นกลับคืนปกติในเร็ววัน “คนไทย” ไม่น้อยต้องตกเป็นผู้ว่างงานอย่างกะทันหันไม่มีรายได้ใช้หนี้สินที่มีอยู่ โดยเฉพาะ “คนไม่มีเงินเก็บที่ไม่มีช่องทางทำมาหากิน” ต้องเผชิญกับสถานะทางการเงินที่ตึงตัวเพิ่มสูงขึ้นกลายเป็นปัญหา “ถาโถมรุมเร้า” กระทบต่อสภาพจิตใจ และชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ต้องเจอกับ “ความเครียด” ที่เป็นสัญญาณอันตรายสู่ “การฆ่าตัวตายได้ง่าย” ที่ปรากฏตามหน้าสื่อมาอย่างต่อเนื่องช่วงนี้ก่อนหน้านี้ก็มี “โครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กําลังเปลี่ยนแปลง” รวบรวมข้อมูลการฆ่าตัวตายจากผลกระทบโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1-21 เม.ย.2563 มี 38 กรณี ในจำนวนนี้มีเสียชีวิต 28 คน ส่วนใหญ่อยู่ใน “วัยทํางานเสาหลักครอบครัว” ต้องเผชิญ “การตกงาน” นํามาซึ่งแรงกดดันต่อตนเอง และครอบครัว ตั้งข้อสังเกตต่อว่า “ผู้ฆ่าตัวตาย” มักรับผลกระทบจากนโยบาย และมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะ “กลุ่มคนจน” ตกงานแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือ “ผู้ประกอบการรายย่อย” ไม่ได้เยียวยาจากภาครัฐอย่างทันท่วงทีปัจจัยคนไทยเสี่ยงฆ่าตัวตายนี้ นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผอ.รพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ และศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กรมสุขภาพจิต บอกว่า ตามการเก็บข้อมูลของปัจจัยการฆ่าตัวตายในสังคมไทยโดยทั่วไป มีอยู่ 5 ปัจจัยหลัก คือ หลักแรก...ความสัมพันธ์ ตั้งแต่ความสัมพันธ์บุคคล คนใกล้ชิด หรือคนในครอบครัวหลักที่สอง...โรคเรื้อรัง ทั้งโรคเรื้อรังทางกาย และโรคเรื้อรังทางจิตอยู่เดิม เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิตเภท หลักที่สาม...การใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการคลายเครียด แต่ในสภาวะมึนเมามักขาดสติเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเองเช่นกันหลักที่สี่...ผลกระทบจากภาวะเครียดในเรื่องเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายต่างๆและหลักที่ห้า...ใช้สารเสพติด ทำให้เมายา ขาดสติ มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น ในจำนวนนี้ “ผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ” ส่วนใหญ่มักมีเหตุปัจจัยอื่นซ่อนอยู่ด้วยมากกว่าหนึ่งข้อ ที่เข้ามาเป็นองค์ประกอบร่วมอยู่ด้วยเสมอแต่เมื่อนำ 5 ปัจจัยนี้มาวิเคราะห์แจกแจงความถี่มีอยู่ 3 ข้อสำคัญ มักนำไปสู่การฆ่าตัวตายสำเร็จสูงสุด เช่น “เรื่องความสัมพันธ์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด คนในครอบครัว มีการทะเลาะเบาะแว้ง การถูกตำหนิติเตียน ถูกด่าว่ารุนแรง การถูกบูลลี่ ก็เป็นปัจจัยก่อให้เกิดการฆ่าตัวตายด้วยเช่นกันรองลงมา “ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง” สามารถเกิดได้ “ทุกคน ทุกอาชีพ” ทำให้มีความทุกข์ทรมานใจ ถ้าไม่ได้บำบัดรักษาอาการคงอยู่นานเป็นเดือนเรื้อรังเป็นปี อาจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายได้มากกว่าคนทั่วไปถัดมา “ใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ที่เป็นตัวเหนี่ยวเร่งทำให้เกิดการกระทำที่ขาดความยับยั้งชั่งใจเพราะคนคิดฆ่าตัวตาย อาจมีอาการแว้บเรื่องนี้ขึ้นมาในสมอง “ดื่มแอลกอฮอล์” ยิ่งผลักดันให้เกิดความกล้าทำง่ายขึ้น ในบางช่วงก็สอดคล้องสภาพสังคมด้วย เช่น...ผลกระทบจาก “เศรษฐกิจตกต่ำ” ทำให้รายได้ไม่พอใช้จ่ายเข้ากระตุ้นจิตใจปะทะปัญหาถูกคนใกล้ชิด “กดดันดุด่า” ย่อมมีแนวโน้ม “ฆ่าตัวตาย” สำเร็จมากยิ่งขึ้นก็ได้มีคำถามว่า...คนฆ่าตัวตายไปแล้วนำข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกนี้มาอย่างไรนั้น เรื่องนี้สามารถทำการสืบสวนตาม “หลักศาสตร์การชันสูตรทางจิตใจ” ในการค้นหาคำตอบจาก “ครอบครัวและคนใกล้ชิด” แม้แต่การสืบค้นจาก “เวชระเบียนทางการแพทย์” ใช้บันทึกเก็บข้อมูลของผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาลก็ได้เช่นกันนำข้อมูลร้อยเรียงกัน ทำให้ทราบพฤติกรรมต้นเหตุ และเบื้องหลังการฆ่าตัวตายได้อยู่เสมอสิ่งที่น่าสนใจ...“มักเห็นข่าวเด็กอายุ 10-19 ปี ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น” แม้ไม่มีปัจจัยปัญหามากมายเท่ากับ “ผู้ใหญ่” ก็มักนำสู่การทำร้ายตัวเองเช่นกัน แต่ต้องบอกอย่างนี้ “เด็กวัยนี้” กำลังเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้นที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมสลับซับซ้อนมาก โดยเฉพาะ “สมรรถภาพระหว่างเพื่อนฝูง” ที่เด็กให้สำคัญอย่างมากอีกยังมีทักษะด้านการยับยั้งชั่งใจ และการควบคุมตนเองแตกต่างกันด้วย เมื่อมีเหตุการณ์ “เด็กฆ่าตัวตาย” ได้มีการตามสืบสวนค้นหาสาเหตุให้ครบรอบด้าน ทำให้พบปัจจัยอื่นซ่อนกันอยู่มากมายด้วยเสมอ เช่น ปัญหาคนในครอบครัว ค่าใช้จ่าย หรือปัญหาในโรงเรียนจากการถูกเพื่อนบูลลี่กลั่นแกล้ง เป็นต้นแต่ว่า...“วัยทำงานตอนกลาง” ในช่วงวัย 20-24 ปี มักฆ่าตัวตายสำเร็จเยอะมากกว่าวัยอายุ 10-19 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่อยู่ในระดับอุดมศึกษา เพราะฉะนั้นช่วงวัยที่ศึกษาในมหาวิทยาลัย และช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น เป็นวัยที่จำเป็นต้องโฟกัสเป็นพิเศษ ประเด็น...“การฆ่าตัวตายยุคโควิด-19” ยังไม่ได้สรุปตัวเลขสะเด็ดนํ้าชัดเจน แต่ในอนาคตต้องมีมาตรการตั้งรับสถานการณ์ฆ่าตัวตายเร่งด่วนเพราะแนวโน้มตัวเลขมีโอกาสสูงขึ้นแน่ๆ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ตอกย้ำว่า...นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2562 “ปรากฏตัวเลขฆ่าตัวตาย” มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่เมื่อมีโควิด-19 ระบาด “รัฐบาล” ก็ประกาศออกมาตรการป้องกัน “ห้ามขายสุรา” กลับทำให้ “ตัวเลขลดลง” ถือเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาก จึงมีการตรวจสอบกับประเทศอื่นๆ ก็พบว่า “จำนวนฆ่าตัวตายลดลง” เช่นกันย้อนมา...“ยุควิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ปี 2540” ที่มีสถิติการฆ่าตัวตายค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในช่วงปี 2542 มีอัตราตัวเลขจุดสูงสุดของไทยอยู่ที่ 8.6 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน ด้วยเหตุนี้ในช่วงโควิด-19 ระบาด ย่อมมีแนวโน้มตัวเลขการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นได้ แต่อาจต้องใช้เวลาการเดินทางไปถึงจุดสูงสุดราวๆ 1-2 ปีนั่นหมายความว่า...ในช่วงโรคระบาดอยู่ย่อมมี “การฆ่าตัวตาย” ต่อเนื่อง ในจำนวนนี้ยังไม่ใช่ตัวเลขจุดสูงสุด ที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะไล่ระดับไปเรื่อยๆ ในทางกลับกัน “รัฐบาล” ต่างก็พยายามออกมาช่วยเหลือเยียวยา ในส่วน “ฝ่ายสาธารณสุข” มีมาตรการป้องกันด้วยการบำบัดรักษาเช่นกัน เหตุนี้ “ตัวเลข” อาจไม่เป็นตามคาดการณ์ก็ได้เพราะมีตัวกระตุ้นเข้าไปแทรกแซง “กดตัวเลขต่ำลง” ทำให้ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ด้วยพยากรณ์ อย่างเช่น...“ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย” ถ้าหากไม่มีมาตรการเฝ้าระวังป้องกัน ย่อมส่งผลให้ตัวเลขการติดเชื้อพุ่งทะยานสูงขึ้น แต่พอดี “ภาครัฐบาล” มีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวดก็สามารถกดการติดเชื้อให้ต่ำลงตามมา...ทว่า...“สาเหตุการฆ่าตัวตายดูผิวเผินภายนอก” มักถูกมองว่า “ภาครัฐบาล” ช่วยเหลือเยียวยาไม่ทั่วถึงทันท่วงที แต่ความจริงแล้วในช่วง 5-10 ปีนี้มีตัวเลขราว 4,000-5,000 รายต่อปี หรือเฉลี่ย 10 รายต่อวันมาอยู่ตลอด มีทั้งเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ด้วยเหตุนี้ “การฆ่าตัวตาย” จึงกลายเป็นปัญหาสังคมไทยมาเนิ่นนานแล้วด้วยซ้ำดังนั้นแม้ไม่มีโรคระบาด “ตัวเลขฆ่าตัวตาย” คงที่อยู่เช่นนี้ แต่ก็ปฏิเสธได้ยากในปี 2563-2564 อาจมีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงกว่าปี 2562 ในส่วนจะเกิดจากสาเหตุใดคงต้องรอผลสรุปแถลงการณ์ประจำปีอีกครั้งหนึ่งด้วยและคิดว่า “ตัวเลขการฆ่าตัวตาย” จะเกิดจากปัจจัยปัญหาเศรษฐกิจ หรือมีสิ่งอื่นเข้ามาแทรกซ้อนรุมเร้าร่วมด้วยเสมอ สะท้อนให้เห็นถึง “กลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจ” ที่ไม่ว่าจะมีมากขึ้นหรือน้อยลง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องให้การช่วยเหลือเร่งด่วน “ไม่ต้องรอตัวเลข” เพราะความเปราะบางนี้มีความสัมพันธ์กับ “การฆ่าตัวตาย” สามารถเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย ที่ไม่ใช่ปัญหาของระบบสาธารณสุข แต่เป็นปัญหาทางสังคมเกี่ยวพันกับทุกภาคส่วนด้วยซ้ำเหตุนี้การแก้ปัญหาฆ่าตัวตายย่อมเกี่ยวพันหน่วยงานทุกภาคส่วนราชการ และภาคเอกชนในเรื่อง “การฆ่าตัวตายมักนำมาผูกมัดสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้า” มักไม่ใช่สาเหตุหลักเสมอไป แต่อาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกแซงเกี่ยวข้องด้วยก็ได้ เช่น โรคเบาหวาน ความดัน หลอดเลือดสมอง และโรคไต เป็นต้นโดยเฉพาะ “รมควันฆ่าตัวตาย และใช้โซเชียลฯเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย” ที่เกิดขึ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้วจากอิทธิพลการเลียนแบบตาม “สื่อ” ทำให้การเสนอข่าวต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมา “สื่อออนไลน์” นำเสนออุปกรณ์ วิธีการละเอียดสูง ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และตัวหนังสือ ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการเลียนแบบได้สุดท้าย “การฆ่าตัวตาย” มักมีผลจากความสัมพันธ์จาก “คนใกล้ชิด และสมาชิกในครอบครัว” ดังนั้นต้องทำ “บรรยากาศภายในครอบครัวที่ดี” ที่จะมีความสำคัญอย่างมาก ด้วยมีการพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอขอย้ำว่า... “นี่ไม่ใช่ชี้โพรงให้กระรอก” แต่เป็นการฝากเตือนให้เฝ้าระวัง “คนใกล้ชิด” สถานการณ์เช่นนี้อาจกำลังเจอ “ปัญหาถาโถมขนาดใหญ่” ที่รอใครสักคนมาซักถามช่วยหาทางออกร่วมกันอยู่ก็ได้...