ต่อเนื่องจากกรณีค้างคา “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” ที่ อ.องครักษ์ จ.นครนายก “เครือข่ายคนรักษ์นครนายก มรดกธรรมชาติ” ขอสะท้อนเงื่อนปัญหาใหญ่ยักษ์ต่อกรณี...“สำนักงานคลองห้า” ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาธาตุหายาก ตั้งอยู่ที่ ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีก่อตั้งปี 2530 โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลังงาน ปัจจุบันคือ...กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (ชื่อเดิม) ก่อนโอนย้ายกิจการทั้งหมดมาเป็นสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) ในวันที่ 21 เม.ย.2549ศูนย์วิจัยและพัฒนาธาตุหายาก โรงงานต้นแบบสำหรับแปรสภาพ “แร่โมนาไซต์” ด้วยกระบวนการทางเคมี ผลพลอยได้จากการทำเหมืองแร่ดีบุก เป้าหมายเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ เช่น ไตรโซเดียมฟอสเฟต ออกไซด์ของโลหะธาตุหายาก เช่น ซีเรียม แลนทานัม เพรซีโอดิเมียม นีโอดิเมียม อิตเทรียมรวมทั้งทอเรียมออกไซด์และยูเรเนียมออกไซด์ หรือ... “เค้กเหลือง” ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาเป็น “เชื้อเพลิงนิวเคลียร์” ได้...ทว่าในกระบวนการแปรสภาพแร่โมนาไซต์นั้น โอกาสที่ยูเรเนียมและไอโซโทปต่างๆในอนุกรมยูเรเนียมที่ปะปนอยู่ในแร่จะถูกชะล้างและปะปนอยู่ในนํ้าทิ้งของกระบวนการผลิตในขั้นสุดท้ายปัญหามีว่า...เมื่อสามารถเคลื่อนย้ายเข้าสู่ระบบห่วงโซ่อาหารสามารถก่อให้เกิดอันตรายมากเมื่อเข้าสู่ร่างกายของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากธาตุยูเรเนียมและทอเรียมสลายให้รังสีแอลฟา เช่น เรเดียม-266 มีครึ่งชีวิตยาวนาน มีสมบัติทางเคมีเช่นเดียวกับธาตุแคลเซียม จึงมักพบสะสมในกระดูกศูนย์วิจัยและพัฒนาธาตุหายาก ที่ว่านี้ได้มีการแบ่งพื้นที่เป็น 5 ส่วน 1.พื้นที่ส่วนการบริหารงาน 2.พื้นที่ส่วนผลิต โดยมี 2 อาคารหลักและอาคารสนับสนุนอื่นๆ 3.พื้นที่บำบัดนํ้าเสีย 7 บ่อ ได้มีการฝังกลบทั้ง 7 บ่อในเดือนธันวาคม ปี 2562 4.พื้นที่สวัสดิการบ้านพัก5.พื้นที่สำรองเพื่อขยาย...ปัจจุบันกำลังก่อสร้างอาคารเก็บกากฝุ่นเหล็กกัมมันตรังสีข้อมูลจากหนังสือ ศูนย์วิจัยและพัฒนาธาตุหายาก ได้กล่าวถึงระบบนํ้าเสียจากกระบวนการผลิต จะไม่ถูกปล่อยออกสู่สาธารณะโดยเด็ดขาดกล่าวคือจะใช้วิธีการระเหยจากบ่อนํ้าเสีย ทั้งยังระบุถึงการสร้างหลังคาครอบบ่อนํ้าทิ้ง เพื่อป้องกันฝน อาจจะชะล้างนํ้าจากบ่อนํ้าทิ้งสู่สาธารณะได้ซึ่ง...หลังคาที่ว่านี้จะต้องสามารถปิดเปิดได้ เพื่อรองรับการระเหย เวลาไม่มีฝนตก แต่ก็ไม่ได้สร้างหลังคาครอบแต่ประการใด ซํ้าร้ายในช่วงปลายปี 2554 เกิดนํ้าท่วมใหญ่ทั่วบริเวณโครงการ แน่นอนย่อมเกิดการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีสู่สาธารณะ...โดยเฉพาะแหล่งนํ้า ไม่ว่าจะเป็นนํ้าใต้ดิน นํ้าคลองที่สำคัญคือ “สระนํ้าพระรามเก้า” ซึ่งเป็นสระขนาดใหญ่ขนาบสองฝั่งของโครงการตามเอกสารรายงานการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ในกระบวนการผลิตแร่โมนาไซต์ในปี 2560 หลังนํ้าท่วมใหญ่ ปรากฏในรายงานชัดเจนว่าอาคารเก็บวัสดุกัมมันตรังสี (แร่โมนาไซต์) ได้รับผลกระทบอย่างหนัก สามารถวัดค่ากัมมันตรังสีหน้าอาคารได้สูงถึงมากกว่า 60 เท่าของระดับกัมมันตรังสีพื้นผิวปกติ ซึ่ง<1 ไมโครซีเวิร์ตนอกจากนี้...อาคารโรงเก็บกากกัมมันตรังสี 3 ที่จุดเดียวกันก็ท่วมไปด้วยน่าสนใจว่า...ช่วงต้นปี 2564 ได้มีการขายทอดตลาดแร่โมนาไซต์และผลิตภัณฑ์ เช่น ยูเรเนียม ทอเรียม โดยเฉพาะปริมาณแร่โมนาไซต์มีมากกว่า 600 ตัน เป็นการปิดฉาก...กิจกรรม “แปรสภาพแร่โมนาไซต์” อย่างเป็นทางการ แม้จะระบุในเอกสารว่าได้ยุติอย่างเป็นทางการในปี 2548? จับตาพุ่งเป้าไปที่ “โรงเก็บกากกัมมันตรังสี 3” เป็นอีกกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่จุดนี้ได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2547 เหตุผลหลักในการสร้างคือปัญหาพื้นที่การจัดเก็บที่สำนักงานบางเขนคับแคบไม่เพียงพอต่อปริมาณของวัสดุกัมมันตรังสี เลยจำเป็นต้องสร้างใหม่...เกือบ 20 ปีที่โรงเก็บกากกัมมันตรังสี ที่สร้างขึ้นในพื้นที่คลองห้า...กว่า 30 ปีแล้วที่โรงงานแปรสภาพแร่โมนาไซต์ได้ก่อตั้งขึ้นและดำเนินกิจกรรม ไม่นับรวมถึงงานบริการฉายรังสีในพื้นที่เดียวกันซึ่งเป็นบ่อรังสีโคบอลต์-60 ลึกลงไปในดินเกือบ 8 เมตร ที่อาจจะมีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีลงสู่ผืนดินแหล่งนํ้า โดยเฉพาะบริเวณดังกล่าวขนาบด้วยสระเก็บนํ้าพระรามเก้า 2 สระความจุรวมมากกว่า 11 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งชุมชนแถบนั้นใช้อุปโภค บริโภค โดยมีรายงานด้วยว่ามีการทรุดของบ่อรังสีโคบอลต์-60 จนต้องมีการซ่อมบำรุงขนานใหญ่อีกประเด็นสำคัญ...ต้นปี 2563 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้งานพื้นที่สำนักงานคลองห้า โดยทำการฝังกลบบ่อบำบัดนํ้าเสียจากกระบวนการแปรสภาพแร่ทั้ง 7 บ่อ ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่รับผิดชอบต่อสังคมในการดำเนินการ เพราะ “นํ้าเสีย” ที่ปนเปื้อน “สารกัมมันตรังสี” จะแพร่กระจายลงสู่พื้นดิน...แหล่งนํ้าทันที ที่สำคัญ...อย่าลืมว่าการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีในกลุ่มยูเรเนียม ทอเรียม จะให้ไอโซโทป เรเดียม-226 ซึ่งมีค่าครึ่งชีวิตยาวนานกว่า 1,600 ปี และอาจจะส่งผลต่อร่างกายหากเข้าสู่ร่างกาย นั่นคือ ...มะเร็งเนื้อเยื่อกระดูก โพรงกระดูก และมะเร็งเม็ดเลือดกระทั่งในต้นปี 2564 ได้มีกิจกรรมด้านนิวเคลียร์เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นโครงการก่อสร้าง “อาคารเก็บกากฝุ่นเหล็กกัมมันตรังสี” เป้าหมายคือ...รองรับกากฝุ่นเหล็กกัมมันตรังสีทั้งประเทศไว้ที่สำนักงานคลองห้านี้...โรงเก็บกากกัมมันตรังสี 4 ถูกก่อสร้างขึ้นอีกครั้งที่สำนักงานองครักษ์คราวนี้...เป็นอาคารเก็บกากกัมมันตรังสีที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แล้วทำการขนย้ายกากกัมมันตรังสีบางส่วนที่อาคาร 3 สำนักงานคลองห้า และสำนักงานบางเขน มาเก็บที่โรงเก็บกากหลังใหม่ ที่สำนักงานองครักษ์บทสรุป...จากกิจกรรมต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนี้ หากอ้างอิงตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ก็มีบัญญัติไว้ในการคุ้มครองในหลายมาตรา เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 58 บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูลคำชี้แจงและเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐ ก่อนการดำเนินการหรืออนุญาตและกฎหมายย่อยอื่นๆเช่น พระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 มาตรา 80 ว่าด้วยใบอนุญาตสถานประกอบการ ซึ่งปรากฏว่า...ทางผู้ดำเนินกิจกรรม “ไม่มีใบอนุญาต” จากการยอมรับของหน่วยงานกำกับดูแลวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ในวาระการประชุมของคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน เรื่องร้องเรียนขอตรวจสอบโครงการจัดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยเครื่องใหม่ฯโดยหน่วยงานผู้กำกับดูแลให้เหตุผลว่า...เนื่องจากกฎระเบียบต่างๆยังไม่สมบูรณ์เลยยังออกให้ไม่ได้ ซึ่งดูจะขัดแย้งกับความจริงที่เกิดขึ้น ด้วย...“สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ” ได้ออกใบอนุญาตสถานประกอบการนิวเคลียร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ตามใบอนุญาตเลขที่ 1/2563 ลงวันที่ 26 พ.ย.2563 แต่กลับไม่สามารถออกใบอนุญาตสถานประกอบการนิวเคลียร์แก่...สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติหน่วยงานในสายงานบังคับบัญชาสูงขึ้นไปย่อมต้องมีความรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...ทั้งหน่วยงานกับกำกับดูแล หน่วยงานปฏิบัติ ขาดธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคมหรือไม่?...จึงเป็นที่มาของความไม่ไว้วางใจต่อทุกกิจกรรมด้าน “นิวเคลียร์” ของ “ประเทศไทย”.