ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เสียงเรียกร้องให้กองทัพทัดมาดอว์ คืนอำนาจสู่รัฐบาลพลเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ยังคงดังระงมเต็มท้องถนนในเมืองสำคัญต่างๆของเมียนมาไล่ตั้งแต่ภาคเหนือจดภาคใต้ ตั้งแต่เมืองมัณฑะเลย์ กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงเก่าย่างกุ้ง ไปจนถึงเมียวดี และเมืองทวาย ที่มีประชาชนจำนวนมาก ออกมาเดินขบวนต่อต้าน พร้อมจี้ให้ปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี ตัวละครสำคัญทางการเมืองโดยเร็ว ซึ่งบางวันมีคนเข้าร่วมเคลื่อนไหวมากถึงหลักแสนคนโดยมีจุดยืนการใช้ “อารยะขัดขืน” ไม่ใช้ความรุนแรง พร้อมขอให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ พากันหยุดงาน และเมินเฉยต่อคำสั่งใดๆที่มาจากกองทัพผู้ก่อการรัฐประหารอย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า สิ่งเหล่านี้จะส่งผลเช่นไรต่อเหล่าขุนศึกที่เข้ายึดอำนาจ เพราะถ้าดูจากประวัติศาสตร์การเมืองโลกที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวของประชาชนที่ไม่มีอาวุธในมือ จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้นอกเสียจากมีตัวละครผู้มีอำนาจและอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจากภายในหรือภายนอกประเทศ อย่างกรณีของเมียนมาเอง ก็มีตัวอย่างมาแล้วจากการรัฐประหารรอบแรกในปี 2533 ที่ทำให้เมียนมาถูกชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา ตัดขาด คว่ำบาตร และตัวนางซูจีเองก็ถูกคุมขังเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษแต่ผลสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงก็เริ่มจากตัวกองทัพเองที่เริ่มให้รัฐบาลพลเรือน เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ ค่อยๆ ผ่องถ่ายอำนาจ (โดยที่ยังมั่นใจกองทัพคือผู้มีอำนาจตัวจริง) เขียนรัฐธรรมนูญไว้เป็นเกราะป้องกัน และจัดการเลือกตั้งใหม่ จนได้นางอองซาน ซูจี ขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาแห่งรัฐหรือผู้นำกลายๆนั่นเองในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ได้อนุมัติการใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อเมียนมา มุ่งเป้าไปที่สมาชิกกองทัพที่อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร ตัดงบประมาณช่วยเหลือกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 29,000 ล้านบาท (แต่ไม่แตะงบส่วนพัฒนาสาธารณสุข สังคม) พร้อมควบคุมการส่งออกสินค้าไปยังเมียนมา ขณะที่สหภาพยุโรปพิจารณาจะดำเนินรอยตาม มีนักวิเคราะห์สหรัฐฯมองว่า การก่อรัฐประหารในเมียนมา ซึ่งสวนทางกับหลักการประชาธิปไตยที่สหรัฐฯยึดถือมาตลอด ย่อมดึงสหรัฐฯเข้าไปพัวพันโดยอัตโนมัติ แต่เอาเข้าจริงแล้วเรื่องนี้สหรัฐฯ...แทบจะไม่เกี่ยวอะไรเลย...เพราะการก่อรัฐประหารของกองทัพเมียนมา ไม่ถือว่าเป็นเรื่องการต่อสู้เชิงหลักการ “เผด็จการปะทะประชาธิปไตย” แต่ถือเป็นเหตุผลส่วนตัวเรื่องฐานอำนาจของกองทัพทั้งสหรัฐฯเองก็ใช่ว่าไม่เคยทำมาก่อน น่าจะคุ้นเคยกับการกล่าวหาอย่างไร้หลักฐาน ระบุว่าประเทศนั้นๆมีอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง และส่งกำลังเข้ารุกราน โค่นล้มเปลี่ยนตัวรัฐบาล ซึ่งตามมาด้วยผลประโยชน์ด้านโครงการก่อสร้างขั้นพื้นฐาน พลังงาน การขายอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่ามหาศาลคล้ายกันหรือไม่กับการที่กองทัพเมียนมา ประกาศปาวๆว่าพบความผิดปกติของการเลือกตั้ง มีการใช้สิทธิซ้ำซ้อน พอไม่ได้รับการตอบสนอง ก็ใช้เป็น “ความชอบธรรม” ก่อรัฐประหารยึดอำนาจ ทั้งที่ในความเป็นจริงถึงตรวจสอบไปและพบความผิดปกติบ้าง (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการเลือกตั้ง) ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์อย่างมีนัย เนื่องจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ชนะด้วยเสียงถล่มทลายการรัฐประหารรอบแรกในเมียนมา ที่นำไปสู่การตัดขาดเมียนมาออกจากผลประโยชน์ในชาติตะวันตก ได้ผลักเมียนมาเข้าสู่อ้อมอก “จีน” รวมถึงบรรดาประเทศอื่นในภูมิภาค เป็นเวลากว่า 20 ปี และจะไม่แปลกแต่อย่างใด ที่การ “รัฐประหารครั้งนี้” สิ่งที่กองทัพเมียนมาจะให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ คือท่าทีของจีน (แม้จะมีรายงานว่ากองทัพไม่ค่อยไว้ใจจีนเท่าไรนัก) ไปจนถึง ญี่ปุ่น ไทย เกาหลีใต้ อินเดีย สิงคโปร์ รวมถึงสมาชิกชาติสหภาพยุโรปบางประเทศ ที่มีความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการทูตกระนั้นแน่นอนว่า จีนได้ออกตัวแต่แรกว่า เป็นเรื่องของ “การเมืองภายใน” ประเทศเมียนมา ตามด้วยไทยที่ใช้หลักการของอาเซียน “ไม่แทรกแซง” กิจการของกันและกัน ขณะที่ญี่ปุ่นเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเจรจากันอย่างสันติ หลีกเลี่ยงความรุนแรง ส่วนเกาหลีใต้แสดงความกังวล เรียกร้องให้ปล่อยซูจี และจัดการเจรจา มีสิงคโปร์ที่ออกตัวเยอะหน่อยว่าไม่พอใจ เนื่องด้วยสายสัมพันธ์กับสหรัฐฯในภาพรวมจึงถือว่ามีเครื่องมือในการกดดันน้อยมาก และขึ้นอยู่กับตัวรัฐบาลทหารเมียนมาเอง ว่าจะหันกลับมายอมรับมาตรฐานโลกเมื่อไร ซึ่งเมียนมาตั้งกรอบไว้เบื้องต้น 1 ปีเต็ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต่ออายุไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา.วีรพจน์ อินทรพันธ์