ต้องถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน 8 องค์กร ประกาศสงครามทางกฎหมาย หรือ “นิติสงคราม” กับภาครัฐ จะฟ้องดะตั้งแต่ตัวเล็กถึงตัวใหญ่ เพื่อให้รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้อำนาจปกป้องสิทธิเสรีภาพ โดยจะประเดิมร้องทุกข์กล่าวโทษ และฟ้องศาลปกครอง 2 คดีภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เป็นการรวมตัวกันของนักกฎหมายจาก 8 องค์กร เช่น สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และโครงการอินเตอร์เน็ต เพื่อกฎหมายประชาชน เป็นต้น แถลงว่าจากการรวบรวมข้อมูลการดำเนินคดี ต่อกลุ่มผู้ชุมนุม ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ถึงต้นเดือนธันวาคม มีถึง 119 คดี มีผู้ต้องหา 220 คนเป็นการดำเนินคดีกับเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี 5 ราย 7 คดี มีเยาวชนคนหนึ่ง อายุ 17 ปี โดนข้อหามาตรา 116 ฐานปลุกปั่นยุยง แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมบางคน โดยมาตรา 112 ถึง 24 คดี ส่วน 2 คดีแรกที่จะฟ้องศาลปกครองได้แก่การสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา และการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงถือว่าเป็นสงครามกฎหมายครั้งใหญ่ ระหว่างภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน กับรัฐบาล เชื่อว่าภาคประชาชนจะขอบารมีของศาลปกครองเป็นที่พึ่ง เพราะศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณา และพิพากษาคดีพิพาท ระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ เพราะมีประชาชนถูกเจ้าหน้าที่รัฐกดขี่ข่มเหงสาเหตุสำคัญ เนื่องจากแม้ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็น “ประชาธิปไตย” มากว่า 88 ปีแล้ว แต่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ท่องกันขึ้นใจว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” เป็นแค่วาทะเท่ๆ ความจริงเป็นการปกครองโดยข้าราชการ ที่มีอำนาจกฎหมาย และอาวุธในมือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ในการชุมนุมของคณะราษฎรที่ผ่านมา ตำรวจจัดสารพัดกฎหมายมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.การชุมนุม กฎหมายอาญามาตรา 116 และ 112 หลังจากที่นายกรัฐมนตรีประกาศ “ต้องใช้กฎหมายทุกฉบับและทุกมาตรา” แม้แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงที่ ออกมาปราบการก่อการร้ายกฎหมายป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย กลายเป็นกฎหมาย “ปิดปาก” ประชาชน นายกรัฐมนตรีชอบสอนประชาชนว่า “ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย” แต่ไม่ได้บอกว่า กฎหมายของใคร กฎหมายที่ถูกต้องของสังคมประชาธิปไตย จะต้องตราขึ้นโดยรัฐสภาที่มาจากเลือกตั้ง เป็นผู้แทนปวงชน กฎหมายที่ประกาศใช้เองไร้ความชอบธรรม.