ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุกอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.) “จุฑามาศ ศิริวรรณ” 66 ปี ส่วนลูกสาว 40 ปี คดีรับเงินตอบแทนกว่า 60 ล้านบาท เพื่อให้ได้สิทธิจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2002-2007 สู้กันยาว 3 ศาลตั้งแต่ปี 58 ก่อนส่งทั้งคู่ไปจำคุกรับโทษต่อที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อท.46/2559 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 73 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 46 ปี บุตรสาว เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นพนักงาน เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อการกระทำอย่างใดในหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้อแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิตามสัญญาแก่หน่วยของรัฐ และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.6 ม.11 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 ม.12 จากกรณีรับเงินตอบแทนสามี-ภรรยาชาวสหรัฐอเมริกา นักธุรกิจภาพยนตร์ เพื่อให้ได้สิทธิจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2002-2007 มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 ส.ค.58 จำเลยทั้งสองปฏิเสธทั้งนี้ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาตั้งเเต่วันที่ 29 มี.ค.60 เห็นว่าพฤติการณ์ของนางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 ถือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 ม.12 และผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ม.6 ม.12 ให้จำคุกนางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 รวม 11 กระทง กระทงละ 6 ปี รวม 66 ปี แต่เมื่อ รวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้ว ให้จำคุก 50 ปี และจำคุก น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 รวม 11 กระทงเช่นกัน กระทงละ 4 ปีโดยจำคุกทั้งสิ้น 44 ปีให้ริบเงินกระทำผิด 1,822,494 เหรียญสหรัฐฯ และดอกผลที่เกิดขึ้นให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย โดยเงินนั้นเป็นทรัพย์ที่ฝากอยู่ในธนาคารต่างประเทศ ศาลกำหนดมูลค่าทรัพย์นั้น รวมมูลค่า 62,724,776 บาทต่อมาศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 พ.ค.62 พิพากษาแก้เป็นให้จำคุก น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 รวม 10 กระทง กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 40 ปี ส่วนนางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 คงจำคุกตามคำพิพากษาศาล ชั้นต้น 11 กระทง กระทงละ 6 ปี รวมจำคุก 66 ปี แต่ เมื่อรวมโทษตามกฎหมายแล้ว ให้จำคุกสูงสุดเป็นเวลา 50 ปีเเละให้ยกคำสั่งริบทรัพย์ของศาลชั้นต้นที่ให้ริบเงินที่เป็นการกระทำผิดซึ่งเป็นเงินในบัญชีต่างประเทศกว่า 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย เนื่องจากเป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ เพราะคดีนี้อัยการโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้ริบของกลางหรือเงินใดๆไว้ท้ายฟ้องและบทเฉพาะกาลตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 ม.52 บัญญัติให้บรรดาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับนั้น ให้บังคับตามกฎหมายที่ใช้อยู่ก่อน คำสั่งของศาลชั้นต้นที่นำมาตรการริบทรัพย์สินในคดีทุจริตไม่ว่าโจทก์จะมีคำขอหรือไม่ตาม ม.31 (2) ม.32 (2) และ ม.33 วรรคหนึ่งนั้นมาใช้กับคดีนี้ เป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ นัดนี้ ศาลเบิกตัวนางจุฑามาศและ น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 1-2 ถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง โดยไม่ได้รับการประกันตัวมาศาล ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันเเล้ว จำเลยกระทำผิดจริงมีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ แล้วออกหมายจำคุกตามขั้นตอน