เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงอาหารคํ่างานหนึ่ง ปรากฏว่าไปเจอบุคคลสำคัญที่เคยเป็นข่าวใหญ่ทางการเมืองท่านหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน และมีโอกาสได้พูดได้คุยกับท่านเป็นเวลายาวนานพอสมควรทีเดียวดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่เคยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และล่าสุดคือ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายา “กุมารน้อย” หรือ “กุมารที่ 4” ในบรรดา 4 กุมารทางการเมืองนั่นแหละครับ...ในนิยายจักรๆ วงศ์ๆ เรื่อง “สี่ยอดกุมาร” ที่ช่อง 7 สีนำมาสร้าง เป็นภาพยนตร์ชุด ออกอากาศแบบสร้างแล้วสร้างอีกถึง 4 หน ในรอบ 25 ปีที่ผ่านมานั้นไซร้...ทั้ง 4 กุมารไม่เคยพ่ายแพ้ใคร เพราะมีอาวุธวิเศษประจำกายทุกคน ไม่มีศัตรูที่ไหนจะต้านได้ตรงข้ามกับ 4 กุมารทางการเมือง อันประกอบด้วย “พี่ใหญ่” ดร.อุตตม สาวนายน, “พี่รอง” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงค์, “พี่สาม” ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ และ “น้องสี่” ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล แห่งพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ภายในพรรค จนต้องพ้นจากทุกตำแหน่ง ทั้งในรัฐบาลและในพรรคเรียบวุธได้รับความเห็นอกเห็นใจจากสื่อมวลชนทุกแขนงเพราะเป็นผู้ออกมาลงหลักปักฐานสร้างพรรคอย่างแข็งขัน แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งกลับถูกเขี่ยทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใยดังนั้น เมื่อผมมีโอกาสได้เจอกุมารน้อย หรือกุมารที่ 4 น้องนุชสุดท้องอย่างท่าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ในงานเลี้ยงอาหารคํ่าเมื่อวันพฤหัสบดีก่อน จึงรู้สึกตื่นเต้น และได้ถือโอกาสพูดคุยสอบถามท่านในหลายๆเรื่องก่อนจะลงรายละเอียดว่าคุยอะไรกันบ้าง ขอแจ้งให้ทราบเป็นเบื้องต้นว่า กุมาร กอบศักดิ์ ได้กลับคืนสู่ถิ่นเก่าคือ อาณาจักร บัวหลวง หรือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อย และ กำลังมีความสุขกับ “งานใหม่” ที่เคยเป็น “งานเก่า” ของท่านอย่างแท้จริงผมมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์ว่า ท่านมีความสุขก็เพราะใบหน้าที่อิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใส และพูดจาด้วยน้ำเสียงสดใส ซึ่งคนมีความทุกข์จะไม่มีวันมีรอยยิ้มและน้ำเสียงเช่นนี้อย่างเด็ดขาดที่สำคัญ ดร.กอบศักดิ์พูดถึงทุกคนในแง่ดี โดยเฉพาะพูดถึง “บิ๊กตู่” ในแง่ดีมากๆ ทั้งๆที่ควรจะรู้สึกโกรธที่ท่านไม่ปกป้อง 4 กุมารแม้แต่น้อยถามว่ากลับมาอยู่แบงก์บัวหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่? ได้รับคำตอบว่าเมื่อพ้นตำแหน่งการเมืองก็ถือโอกาสพักผ่อนอยู่ระยะหนึ่ง พอครบเดือนก็ได้รับโทรศัพท์จากกรรมการผู้จัดการใหญ่ ชาติศิริ โสภณพนิช บอกว่าพักผ่อนพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็กลับมาทำงานได้นะ พวกเรารอคุณอยู่ผมถามต่อว่าเสียดายไหม?...สำหรับงานต่างๆที่สร้างไว้ โดยเฉพาะ อีอีซี หรือ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก อันยิ่งใหญ่เปรียบประดุจช้างเผือกของรัฐบาลนี้ท่านบอกว่าไม่เสียดายเลย เพราะเชื่อว่าได้ปูพื้นไว้ดีและหลายๆ โครงการมีการเริ่มต้นและมีการเดินหน้าไปบ้างแล้ว...เชื่อว่า จะเดินต่อได้ เมื่อโควิด-19 ซาลงถามไปถึงว่าทางเศรษฐกิจไทยตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ตอบว่าแม้จะยังหนักอยู่แต่ก็ส่อแววดีขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว...หลายๆอย่างเริ่มขยับอย่างมีนัยสำคัญท่านฝากเป็นข้อสังเกตเอาไว้หน่อยเดียว (โดยไม่มีน้ำเสียงตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น) ว่างบเงินกู้ 400,000 ล้านบาทเศษๆ ที่ท่านและทีม 4 กุมารจัดเตรียมไว้และมอบให้สภาพัฒน์ดูแลนั้น คลอดช้าไปหน่อยถ้าเร็วกว่านั้นจะมีผลในทางกระตุ้นมากกว่านี้อีกเยอะท่านยังฝากข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการฝ่าฟันปัญหาเศรษฐกิจไปถึงรัฐบาลอีก 2-3 ข้อ แต่ผมไม่มีเนื้อที่จะเขียนถึงก็ขออนุญาตผ่านไปก่อน...ไว้มีโอกาสค่อยเขียนถึงในวันข้างหน้าต่อไปอยากจะสรุปสั้นๆว่า ผมทึ่งมากกับความรู้สึกนึกคิดที่ท่านมีต่อนายกรัฐมนตรี ต่อรัฐบาล และต่อพรรคพลังประชารัฐ ที่พวกเรานึกว่าหักหลังท่าน ทรยศท่าน ท่านคงโกรธแค้นบ้าง...ไม่มากก็น้อยละน่าปรากฏว่า ท่านไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลย...ในทางตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร ให้กำลังใจและให้อภัย ฯลฯถ้านักการเมืองไทยเราส่วนใหญ่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ถึงเวลาทำก็ทำเต็มที่ ถึงเวลาไปก็ไป ไม่คิด ไม่แค้น ไม่อาฆาตพยาบาท--บ้านเมืองเราจะไปไกลกว่านี้อีกหลายเท่าน่าเสียดายที่เรามีนักการเมืองคุณภาพเช่นนี้น้อยมาก...เท่าที่นึกออกตอนนี้น่าจะมีแต่ 4 คน หรือ 4 กุมารเท่านั้นกระมัง?“ซูม”