ซอกแซกสัปดาห์นี้ เรายังคงอยู่กันที่จังหวัดสกลนครนะครับ...จังหวัดเล็กๆ แต่น่ารักจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน ที่ทีมงานซอกแซกติดตามคณะกรรมการบริหารมูลนิธิไทยรัฐไปประชุมประชาพิจารณ์เพื่อเตรียมก่อสร้างโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 110 (บ้านชมภูพาน) ดังที่เขียนเล่าไว้เมื่อสัปดาห์แล้วเราใช้วิธี “เล่าเรื่อง” ด้วยการหยิบ “คำขวัญ” ของจังหวัดขึ้นมาเกริ่นเสียก่อน เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบว่า “ของดี” ที่จังหวัดเชิดชูผ่านคำขวัญนั้นๆ ได้แก่อะไรบ้างจากคำขวัญที่ว่า “พระธาตุเชิงชุมคู่บ้าน พระตำหนักภูพานคู่เมือง งามลือเลื่องหนองหาน แลตระการปราสาทผึ้ง สวยสุดซึ้งสาวภูไทถิ่นมั่นในพุทธธรรม” นั้นไซร้ เราได้ขยายความกันไปแล้วสำหรับ 2 ประการแรก อันได้แก่ พระธาตุเชิงชุม และ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์สัปดาห์นี้มาต่อกันที่อันดับ 3 “งามลือเลื่องหนองหาน” อันหมายถึง ทะเลสาบหนองหานกันเลยนะครับ ทะเลสาบนํ้าจืดขนาดใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน และเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย รองจาก บึงบอระเพ็ด ที่จังหวัดนครสวรรค์เท่านั้นเองหนองหานอยู่ในเขตอำเภอเมืองสกลนคร มีเนื้อที่กว่า 77,000 ไร่ หรือ 123 ตารางกิโลเมตร ความลึกเฉลี่ย 2.0-10.0 เมตร เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลานํ้าจืด แหล่งนกนํ้า และเป็นพื้นที่ชุ่มนํ้าที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่มากกว่า 30 เกาะ เกาะขนาดใหญ่ที่สุดคือ เกาะคอนสวรรค์ ซึ่งมีพุทธสถานโบราณอยู่ภายในเกาะด้วย นับเป็นจุดเด่นจุดหนึ่งของทะเลสาบนํ้าจืดแดนอีสานแห่งนี้แม้ในการไปเยือนเที่ยวนี้ หัวหน้าทีมซอกแซกจะมิได้มีโอกาสไปเยือน หนองหาน แต่ในอดีตยุคที่มาสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดสกลนครได้เคยแว่บไปนั่งเรือลอยทะเลสาบมาแล้วหลายหน ยังจำความสดชื่นรื่นรมย์ได้ติดตาติดใจข้อสังเกตของหัวหน้าทีมซอกแซกเกี่ยวกับชื่อ “หนองหาน” ก็เห็นจะมีอยู่เพียงว่าการเขียนชื่อที่ถูกต้องของ “หนอง” นี้คืออะไรแน่เพราะใน วิกิพีเดีย ว่าด้วยจังหวัดสกลนครใช้คำว่า หนองหาน แต่ชาวบ้านทั่วๆไป รวมทั้งเอกสารนำเที่ยวต่างใช้ “หนองหาร” กันไปหมด...แม้ในวิกิพีเดีย ตอนค้นไปที่ตัวหนองโดยเฉพาะก็ใช้คำว่า “หนองหาร” กดคำว่า “หนองหาน” กี่ทีก็ขึ้นมาเป็น “หนองหาร” อยู่นั่นแหละ ตกลงใช้อะไรกันแน่? ใครรู้ข้อเท็จจริงโปรดช่วยแจ้งให้ทราบด้วย จะขอบคุณอย่างยิ่งครับไปต่อกันที่คำขวัญถัดไปเลยครับ “แลตระการปราสาทผึ้ง” ซึ่งก็คือประเพณีแห่ปราสาทผึ้งในวันขึ้น 14 คํ่า เดือน 11 ของทุกปี ก่อนวันออกพรรษา 1 วัน ที่ วัดพระธาตุเชิงชุมวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนครนั่นเอง โดยจะมีการนำขี้ผึ้งมาตกแต่งสลักเสลาเป็นปราสาทราชวังที่สวยงามมาก เพื่อจะแห่ไปบูชาพระธาตุเชิงชุม ที่ชาวสกลนครเคารพและศรัทธา เป็นประเพณีเก่าแก่มากของจังหวัด และทุกๆปีที่ผ่านมาจัดได้อย่างยิ่งใหญ่ มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปดูชมแน่นขนัดช่วงขึ้น 14-15 คํ่า เดือน 11 ของปีนี้ก็คือ วันที่ 1 และ 2 ตุลาคม ซึ่งนับจากนี้ไปประมาณเดือนเศษๆเท่านั้น จะจัดงานใหญ่หรือไม่อย่างไร? (เพราะเป็นปีโควิด-19) ประชาสัมพันธ์จังหวัดอย่าลืมส่งข่าวมาบ้างนะครับจากปราสาทผึ้งก็ไปว่ากันถึง “สาวภูไท” เลยครับ...แม้ว่าชาวภูไทซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งของภาคอีสานถิ่นกำเนิดดั้งเดิมก็คือ หลวงพระบาง สปป.ลาว แต่มีการอพยพมาสู่ประเทศไทย และตั้งรกรากอยู่ในหลายๆจังหวัดของภาคอีสานนับแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีจนถึงสมัย ร.3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สำหรับที่ สกลนคร ส่วนใหญ่จะอพยพมาตั้งแต่ยุคสมัยรัชกาลที่ 3 และได้ตั้งถิ่นฐานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ในอำเภอต่างๆ เช่น อ.พรรณานิคม พังโคน บ้านม่วง วาริชภูมิ ฯลฯ ซึ่งจากรายงานที่เคยจัดทำไว้เมื่อปี 2513 หรือ 50 ปีที่แล้ว ระบุว่า ทั้งสกลนครมีชาวไทยเชื้อสายภูไทถึง 212 หมู่บ้าน 20,945 หลังคาเรือน ใน 9 อำเภอ คิดเป็นประชากร 128,658 คนเมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบันนี้จำนวนประชากรชาวภูไทก็คงจะเพิ่มขึ้น และก็คงจะมีสาวงามสืบทอดกันมาหลายรุ่นสมดังคำขวัญที่ว่า “สวยสุดซึ้งสาวภูไท” ด้วยประการฉะนี้ก็มาถึงคำขวัญประการสุดท้าย “ถิ่นมั่นในพุทธธรรม” ซึ่งแปลความได้ตรงๆว่า เป็นจังหวัดที่ยึดมั่นในพุทธธรรม หรือเป็นแหล่งพุทธธรรมที่ขึ้นชื่อนั่นเองในย่อหน้าแรกของเอกสารแนะนำจังหวัดบางฉบับเขียนไว้เลยว่า “สกลนครเป็นแหล่งธรรมะ (ดินแดนแห่งธรรม) มีปูชนียสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาหลายแห่ง และมีพระเกจิอาจารย์ดังที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่หลุย จันทสาโร, พระอาจารย์วัน อุตตโม และ หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี เป็นต้น”เห็นรายชื่อพระเกจิอาจารย์ทุกท่านแล้ว คงต้องยอมรับว่า สกลนครเป็นดินแดนแห่งธรรมะจริงๆ และทุกวันนี้แหล่งที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดได้แก่ พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริ-ทัตโต ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง ตรงข้ามศูนย์ราชการของจังหวัด และพิพิธภัณฑ์ อาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร ตำบลพรรณานิคม อำเภอพรรณานิคม จัดเป็นสถานที่ “เช็กอิน” ของนักท่องเที่ยวสายบุญที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียวในการไปเยือนสกลนครเป็นอันจบเรื่องราวเกี่ยวกับ “ของดี” ที่อยู่ในคำขวัญจังหวัดแต่เพียงเท่านี้--แต่ขอบอกว่าที่จังหวัดนี้ยังมีอะไรดีๆ ที่น่าเที่ยว น่าชมอีกมาก-แถมยังมีของอร่อยๆที่ขึ้นชื่อลือชาอีกด้วยด้วยเหตุฉะนี้ ข้อเขียนซอกแซกชุดไปรื้อฟื้นความหลังที่สกลนคร จึงยังจบในสัปดาห์นี้ไม่ได้ครับ...ขอแถมเป็นพิเศษให้อีก 1 สัปดาห์ก็แล้วกัน...รับรองสัปดาห์หน้าจบแน่นอน.“ซูม”