กรณี “ทหารอียิปต์” มาพักใน จ. ระยอง และ “ลูกสาวคณะทูต” เข้าพักที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง กรุงเทพฯ “ติดเชื้อไวรัสโควิด–19” หลังเดินทางเข้าประเทศไทยได้ไม่กี่วัน ด้วยการใช้เงื่อนไข “สิทธิพิเศษ” ไม่ต้องเข้าสู่ระบบการกักตัว...กลายเป็นเรื่องหวั่นเกิดการระบาดโควิด-19 ระลอก 2 จนสร้างความแตกตื่นกันไปทั่วประเทศ มีการระดมทีมสอบสวนโรคลงพื้นที่ตรวจสอบ และคุมพื้นที่สัมผัสโรคทุกแห่ง พร้อมสั่งปิดห้องพัก และโรงเรียนบางแห่งตามจุดสัมผัสโรคในเขตกรุงเทพฯและ จ.ระยอง“ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด–19 (ศบค.)” ออกมา “แสดงความเสียใจ และขออภัย” ในทุกเรื่องจะปรับปรุงในจุดที่หละหลวมทุกจุด อีกทั้งจะมีการทบทวนให้นักการทูตต้องเข้าสู่การกักตัว 14 วัน และยกเลิกการบินเข้าของกองทัพอากาศอียิปต์อีก 8 เที่ยวบิน ในวันที่ 17-20 และ 25-29 ก.ค.นี้และชะลอการอนุญาตการเข้าราชอาณาจักรแบบผ่อนคลาย เช่น กลุ่มนักการทูตและนักธุรกิจ โดยจะขอทบทวนมาตรการให้ดีก่อน คนไทยพยายามกันแทบตาย สุดท้ายเป็นรัฐที่เชิญเชื้อเข้าประเทศนี้ ผศ.ดร.สิทธิพร ภัทรดิลกรัตน์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะทีมนักวิจัยเชิงลึกด้านเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 บอกว่า เหตุการณ์ “ลูกสาวคณะทูต” โดยเฉพาะ “ทหารอียิปต์” เข้ามาในไทยด้วยการนำเครื่องบินทหาร ลงจอดท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาไม่เข้ามาตรการเฝ้าระวังป้องกัน ทั้งตรวจคัดกรอง หรือการจำกัดพื้นที่พักอาศัยกักตัว 14 วันเรื่องนี้มี “ความหละหลวม” ในมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโควิด-19 อย่างมาก มีการเดินทางเข้าประเทศแล้ว กลับปล่อยออกไปตามปกติเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่งผลต่อความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสระลอกใหม่...ทำให้คนพื้นที่ต้องกลับสู่โหมดการเฝ้าระวังป้องกันการระบาดอีกครั้งทั้งการปิดโรงเรียน โรงแรม และสถานที่อื่น กลายเป็นผลกระทบต่อ “เศรษฐกิจ” ในพื้นที่ทางอ้อมอย่างรุนแรง อีกทั้งคนสัมผัสใกล้ชิดต้องเสียค่าใช้จ่ายตรวจคัดกรองโรค แม้แต่ “รัฐบาล” ก็ต้องสูญงบประมาณทางการแพทย์ติดตามไทม์ไลน์เพื่อป้องกันอีกฉะนั้น...ในช่วงโควิด-19 ระบาดอยู่นี้ “นโยบายรัฐบาล” ในเรื่องให้ “สิทธิพิเศษบุคคลสำคัญ” ต้องทบทวนใหม่ หรือมีการปรับลดการให้สิทธิพิเศษลง แม้มีอ้างการตรวจคัดกรองจากประเทศต้นทางแล้วก็ตาม ก็ไม่ใช่ผลรับรองถึงความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังมีความเสี่ยงติดเชื้อในระหว่างการเดินทางได้อยู่เสมอ ดังนั้น เมื่อเดินทางถึง “ประเทศไทย” ทุกคนต้องยึดหลักภายใต้มาตรการป้องกันของรัฐบาลไทย ในการตรวจคัดกรองซ้ำอีกและกักตัว 14 วัน เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะระบบ “สเตตควอรันธีน” รัฐต้องกักตัวผู้เดินทางจากพื้นที่การระบาดของโรค ในการป้องกันแพร่กระจายเชื้อออกไปในวงกว้างเข้าสู่พื้นที่ตอนในประเทศยอมรับว่า...“สเตตควอรันธีนของไทย” แม้ในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย ก็มีการตรวจสอบคัดกรองกันอย่างเป็นระบบมีมาตรฐานดีระดับต้นของโลก เพราะเจ้าหน้าที่ต่างทำงานกันอย่างเต็มความสามารถเพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสโควิด-19 หลุดรอดเข้ามาสู่ในไทย ทำให้มีความรู้สึกชื่นชมผู้ปฏิบัติงานทุกท่านแต่ปัญหา...ความเสี่ยงเกิดการระบาดระลอกใหม่นี้ เกิดจาก “การให้สิทธิพิเศษ” ไม่ว่าจะเป็น “ทางการทูต” หรือ “ทางการทหาร” เพราะเป็นช่องทางเดียวที่อาจจะสามารถนำเชื้อไวรัสจากภายนอกประเทศ ที่ยังมียอดผู้ติดเชื้อ 13 ล้านคน ในทุกภูมิภาคทั่วโลก และนำเข้ามาสู่ประเทศไทยทำให้ต้อง “ทบทวนยับยั้งสิทธิพิเศษ” ไปก่อน และมีความจำเป็นคงมาตรการตรวจคัดกรองและกักตัว 14 วัน ในการเข้าออกเมืองไทยเข้มงวด จนกว่าโรคโควิด-19 ในนานาประเทศจะไม่มีการแพร่ระบาดแล้ว เพราะเชื้อโรคนี้ไม่ได้เลือกชนชั้นฐานะร่ำรวย หรือมีจน แต่ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อเท่าเทียมเสมอภาคกัน ย้อนในช่วงแรก...การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย มีจุดเริ่มต้น “เชื้อไวรัส” มาจากประเทศจีน ก่อนย้ายศูนย์กลางการแพร่กระจายเชื้อโรคมายังทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือทวีปอเมริกาใต้ ส่วนใหญ่ “คนติดเชื้อไวรัส” ก็มักมีฐานะเงินทอง สามารถเดินทางไปต่างประเทศ สุดท้ายก็รับเชื้อเข้ามาในประเทศตามมา...ถ้าไม่มีการนำเชื้อเข้ามาในไทย มีผลให้ทุกคนปลอดภัย สามารถทำมาหากินตามปกติ ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนอยู่ได้ เพราะจะหวังเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้คงลำบากประเด็น...“เรื่องการท่องเที่ยว หรือการเดินทางเข้าประเทศ” ในบางครั้งก็จำเป็นที่ยังคงมีอยู่ ทั้งการติดต่อทางการค้า หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เมื่อบุคคลต่างชาติเข้ามาแล้วก็ต้องยอมรับปฏิบัติตามกฎระเบียบมาตรการป้องกันในประเทศไทยด้วยคือ ผ่านการตรวจสอบตั้งแต่สนามบิน และเข้าสู่การกักตัว 14 วันถ้าดำเนินการได้ตามมาตรการเช่นนี้...จะสามารถป้องกันให้ประเทศไทย มีความปลอดภัย และอยู่กันอย่างมีความสุขในระยะยาว แม้ในบางครั้งตามแนวชายแดนไทยอาจมีการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่มักเกิดขึ้นอยู่เสมอมาตั้งแต่ยังไม่มีการระบาดโควิด-19 ด้วยซ้ำสาเหตุเพราะ...“เศรษฐกิจดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน” ส่งผลให้มีการทะลักเข้ามาทำงานผิดกฎหมายกันต่อเนื่อง แต่ก็ไม่น่าห่วงที่คนกลุ่มนี้จะนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาแพร่ระบาดได้ เพราะในพื้นที่ประเทศเซาท์อีสต์เอเชีย มีผู้ป่วยรายใหม่น้อย ประกอบกับคนลักลอบเข้าในไทยก็มักอาศัยอยู่ห่างจากชุมชนเมือง มีโอกาสติดเชื้อน้อยอีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง มีการตรวจลาดตระเวนตามแนวชายแดนช่องทางธรรมชาติกันเข้มงวด ทำให้คนเข้าเมืองผิดกฎหมายมีโอกาสหลุดรอดเข้ามาได้ยาก แต่หากลักลอบเข้าเมืองได้ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับบุคคลอาศัยในประเทศ ที่กำลังมีการระบาดอย่างหนักกันอยู่ตอนนี้...ตอนนี้สิ่งที่ “รัฐบาล” ต้องดำเนินการเร่งด่วนคือ ประกาศมาตรการให้ทั่วโลกรับทราบว่า บุคคลใดต้องการมาประเทศไทย ต้องผ่านมาตรการคัดกรอง ตรวจโรคและกักกัน 14 วัน ตามมาตรฐานนี้เข้มงวดไม่มียกเว้น หากติดเชื้อโควิด-19 ต้องมีแผนสู่การรักษาในสถานพยาบาล ส่วนค่าใช้จ่ายคนต่างชาติต้องออกเองทั้งหมดด้วยไม่ใช่ว่า...เกิดปัญหาขึ้นแล้ว “หน่วยงานต้นสังกัด” ออกมาแถลง “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” ซึ่งเป็นสิ่งปฏิเสธไม่ได้ เพราะเครื่องบินทหารอียิปต์ลงจอดสนามบินอู่ตะเภา อยู่ภายใต้กองทัพเรือ ส่วนเครื่องบินทหารต่างชาติ จะเข้ามาในประเทศไทย ต้องได้รับอนุญาตผ่านน่านฟ้าจากกองทัพอากาศ มีการกำหนดเวลาแน่นอนชัดเจน...“ตอนนี้...“ประชาชน” ต่างยึดหลัก “การ์ดไม่ตก” ปฏิบัติตามคำแนะนำของภาครัฐ ในมาตรการป้องกันเข้มงวด ทั้งการสวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ หรือเว้นระยะห่างกัน แต่กลายเป็นว่า ผู้มีอำนาจบ้านเมือง หรือบุคคลมีบทบาทกักกันโรค กลับมีการหละหลวม “การ์ดตก” เสียเอง” ผศ.ดร.สิทธิพรว่าดังนั้น ในการกล่าวขอโทษ หรือรับผิดชอบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่การแก้ปัญหาตอนนี้คือ การเปิดเผยสถานที่ที่ผู้ป่วยเดินทางทั้งใน จ. ระยอง และ กทม. มีประกาศแจ้งเตือนประชาชน ถ้าจำเป็นควรเริ่มการกักพื้นที่และควบคุมการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะในจุดที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ประการต่อมา...ยกเลิกมาตรการ VIP ให้ผู้เดินทางจากต่างประเทศทุกรายต้องตรวจเข้มและกักตัว 14 วัน หรือมากกว่าในกรณีจำเป็น ตรงนี้เห็นว่า “รัฐบาล” ประกาศแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังคงเปิดรับเที่ยวบิน VIP จากประเทศอื่นๆ อีก ที่ยกเลิกเฉพาะเที่ยวบินจากอียิปต์เท่านั้นคนไทยโชคดีที่หน่วยแพทย์เจอผู้ป่วย มิเช่นนั้นมาตรการ VIP ยังคงอยู่ และในอีก 1-2 สัปดาห์ จะมีเครื่องบิน VIP จากอียิปต์มาอีก 8 เที่ยวบินสุดท้ายต้องมีมาตรการเยียวยา ควรหาผู้กระทำผิดในกรณีทหารอียิปต์ และคณะทูต เรียกร้องทางแพ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และนำเงินที่ได้มาเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ มีการจัดหาหน้ากากอนามัย เครื่องมือ และความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ ให้พร้อมรับสถานการณ์ระบาดรอบที่ 2ย้ำว่า...“อย่าชะล่าใจ” เพราะโควิด–19 มีโอกาสกลับมาระบาดใหม่ได้เสมอ และในบางครั้ง “รัฐบาล” ก็อาจเกิดการทำผิดพลาดเช่นเรื่องนี้... สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด “ประชาชน” ต้องป้องกันตัวเอง.