เมื่อวันหยุดยาว “อาสาฬหบูชา + วันเข้าพรรษา” สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวว่าคนไทยออกท่องเที่ยวกันมากมายทั่วประเทศ จนถนนที่เข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวโด่งดังทั้งหลายแน่นขนัดไปหมดนำความโล่งใจมาสู่นักพยากรณ์เศรษฐกิจหลายๆรายที่เคยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะตกตํ่าอย่างหนักหนาสาหัสหลังโควิด-19 และได้เสนอให้รัฐบาลจัดแพ็กเกจส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยนี่ขนาดการลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิในการสนับสนุนค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าเดินทางโดยเครื่องบินยังไม่เริ่ม คนไทยก็ออกเที่ยวกันแล้ว จึงเป็นที่คาดหวังกันว่าเมื่อโครงการเริ่มต้นขึ้น คนไทยคงจะออกมาท่องเที่ยวและควักเงินออกมาใช้จ่ายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้หัวหน้าทีมซอกแซกก็ไปท่องเที่ยวมาเหมือนกันครับในช่วงวันหยุดยาวดังกล่าว แต่เพราะเวลาจำกัด เนื่องจากมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการอยู่บ้าง ไม่สามารถจะไปเที่ยวจังหวัดไกลๆ หรือไปค้างคืนได้จึงตัดสินใจเที่ยวแบบไปสาย เย็นกลับ โดยตั้งเป้าหมายไปที่จังหวัด สมุทรสาคร ซึ่งอยู่ในรัศมีที่จะไปสายๆและกลับคํ่าๆได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย หรือตรากตรำอะไรมากนักนอกจากนี้วันที่หัวหน้าทีมซอกแซกชวนลูกทีมออกเที่ยวนั้น ก็ตรงกับวันเข้าพรรษาพอดิบพอดี เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่ง จึงอยู่ที่การ แวะเข้าวัดใดวัดหนึ่งเพื่อทำบุญถวายสังฆทาน และถวาย “เทียนพรรษา” แด่พระภิกษุเพื่อให้ได้บุญได้กุศลตามที่ปู่ย่าตายายได้สอนเอาไว้จึงตั้งหมุดหมายไว้ที่ วัดศรีสุทธาราม หรือ วัดกำพร้า ตำบลบางหญ้าแพรก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งนอกจากจะมี “หลวงพ่อดำ” พระพุทธรูปโบราณที่ชาวบ้านให้ความเคารพ นับถือแล้ว หน้าบริเวณวัดยังเป็นที่ตั้งของ “ศาลเสด็จเตี่ย” กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และต่อมาได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ของพระองค์ท่าน ที่มีความสูงถึง 9 เมตร โดดเด่นเป็นสง่าขึ้นด้วยหากทีมงานซอกแซกมุ่งหน้าไปที่วัดนี้ก็จะได้มีโอกาสทั้งในการทำบุญถวายเทียนพรรษาและยังจะได้ออกมาสักการะอนุสาวรีย์ “เสด็จเตี่ย” เป็นสิริมงคลไปด้วยพร้อมๆกันหลังจากนั้นค่อยออกตระเวนท่องเที่ยวไปบริเวณรอบๆ ซึ่งจะมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และยังมีร้านอาหารทะเลอร่อยๆไว้บริการตามเส้นทางผ่านอีกหลายสิบร้านให้เรารับประทานอาหารมื้อเย็นเป็นโปรแกรมส่งท้ายก่อนกลับบ้านทีมงานซอกแซกใช้เวลาเดินทางจากบ้านพัก ย่านซีกตะวันออกของ กทม. ขึ้นทางด่วนยาวมาข้ามสะพานพระราม 9 ลงสู่ถนนพระราม 2 ลัดเลาะ ไปจนถึงทางแยกเข้าสู่ มหาชัย ใช้เวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น เนื่องจากทางด่วนโล่งมาก แถมเปิดให้วิ่งฟรีโดย ไม่ต้องหยุดจ่ายสตางค์ที่ด่าน ทำให้รถวิ่งได้ฉิวกว่าปกติเมื่อถึงมหาชัยแล้ว เราก็อาศัยบริการของ กูเกิล แม็ป นำเข้าสู่วัดศรีสุทธาราม หรือวัดกำพร้า ได้เพียง 15 นาทีต่อมา และได้มีโอกาสทำบุญถวายเทียนพรรษาและได้สักการะศาล “เสด็จเตี่ย” ที่อยู่บริเวณหน้าวัดสมดังที่ตั้งใจไว้อนุสาวรีย์ของพระองค์ท่านมีขนาดสูง9 เมตร ประดิษฐานจากระดับพื้น 3 เมตร บนแท่น สูง 5 เมตร รวมความสูงจากพื้นดินถึงพระมาลา17 เมตรมีข้อความจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ว่า หอการค้าจังหวัดสมุทรสาครร่วมกับข้าราชการและประชาชนได้รวบรวมทุนทรัพย์จัดสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2559 แล้วเสร็จและมีพิธีเปิดเมื่อเดือนมีนาคม 2560ด้านหน้าอนุสาวรีย์เป็นศาลาท่านํ้ามีที่ให้นั่งพักรับลมเย็นๆจากปากอ่าว และถัดไปอีกเล็กน้อยก็จะเป็นสวนขนาดเล็กอันร่มรื่น แต่เสียดายที่คณะของเราไม่มีเวลาเดินไปสำรวจใกล้ๆ เพราะยังมีเป้าหมายที่จะออกตระเวนต่อไปอีก 2-3 จุด โดยเฉพาะจุดที่เห็นขึ้นป้ายไว้และทำให้เราตัดสินใจในเดี๋ยวนั้นว่าควรจะไปอย่างยิ่งก็คือ ศาลพันท้ายนรสิงห์ ที่ตำบลโคกขาม สถานที่ท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง ของสมุทรสาครเรื่องราวของ พันท้ายนรสิงห์ ผู้ซื่อสัตย์และยึดมั่นในระเบียบแบบแผนประเพณีตามกฎมณเฑียรบาลในสมัยอยุธยา เมื่อถือท้ายเรือผิดพลาดทำเรือพระที่นั่งเข้าชนกิ่งไม้ในคลองโคกขามจนหักสะบั้นแล้ว ก็ขอร้องให้พระเจ้าเสือ สั่งประหารชีวิตตนเอง ทั้งๆที่ทรงมีเมตตายกโทษ ให้ เป็นบันทึกสั้นๆในประวัติศาสตร์แม้เพียงไม่กี่ บรรทัด แต่ก็ยังเป็นที่เล่าขานต่อมาจนถึงปัจจุบันทุกวันนี้ ศาลพันท้ายนรสิงห์ ที่ปากคลองโคกขาม ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร ก็ยังมีประชาชนเดินทางไปกราบไหว้ ไม่ขาดสาย และจะแน่นมากๆในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันนักขัตฤกษ์ รวมทั้งในวันเข้าพรรษาที่ทีมงานแวะไปเยือนผู้คนแน่นมาก แต่ก็มีการควบคุมและวางระบบ Social Distancing เอาไว้อย่างดียิ่งใกล้ๆศาลนั้นเอง จะมี “ตลาดนํ้า” หรือ ตลาดริมคลองพ่อพันท้ายนรสิงห์ ในท่ามกลางความร่มรื่นของต้นโกงกางและป่าชายเลน มีร้านค้าจำหน่ายอาหารการกินและสินค้าพื้นเมืองกว่า 200 ร้านค้า เป็นจุดยอดนิยมอีกจุดหนึ่ง ของจังหวัดอีกหนึ่งจุดเห็นป้ายแล้วละ แต่ไม่มีเวลาแวะไปคือ จุดชมวิวปลาโลมา อยู่ที่หมู่บ้านประมง ตำบลพันท้ายนรสิงห์ เช่นกัน แม้ระยะหลังจะไม่ค่อยมีปลาโลมาให้เห็น แต่ก็มีสะพานไม้สีแดง ดูจากรูปถ่ายสวยมาก มีความยาวประมาณ 200 เมตร เป็นจุดชมวิวและเช็กอินยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของสมุทรสาครทริปไปสายกลับคํ่าของเราสิ้นสุดที่ร้านอาหาร “ครัวลุงญา” ในตำบลพันท้ายนรสิงห์นั่นเอง เป็นร้านเก่าแก่ที่มีดารา มีคนดังไปอุดหนุนมาแล้วหลายราย รวมทั้งเคยออกรายการ “ครัวคุณต๋อย” มาแล้วด้วยออกจาก “ครัวลุงญา” คณะของเรามุ่ง หน้าไปยังถนนพระราม 2 แล้วก็ตรงดิ่งไปข้ามสะพานพระราม 9 ขึ้นทางด่วนยาวเหยียดกลับถึงบ้าน 2 ทุ่มเศษๆเล็กน้อย...ถือว่าเป็นวันเดียวที่ไปเที่ยวสมุทรสาครแล้วตักตวงความสุข กลับมาได้อย่างคาดไม่ถึงเลยจริงๆ.“ซูม”