ท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ก่อให้เกิดมหาวิกฤติทางเศรษฐกิจแสนสาหัส ไม่ทราบว่าจะโงหัวขึ้นได้เมื่อใด ในขณะเดียวกันก็เกิดความวุ่นวายทางการเมือง ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ชี้ขาด และเสียงเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน โพลทุกสำนัก ออกมาตรงกันว่าประชาชนเดือดร้อน แต่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลไม่ได้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหา แต่เพื่อสืบทอดอำนาจ ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน จึงต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่แถลงว่าพรรคกำลังผลักดันการแก้ไขผ่านกรรมาธิการการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายสำคัญในการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นเงื่อนไขสำคัญในการร่วมรัฐบาล จนกลายเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ยินยอมให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไข ผ่านไปแล้วปีเศษไม่ทราบว่าคืบหน้าถึงไหน แต่พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันแก้ไขเรื่องสิทธิเสรีภาพรวมทั้งระบบการเลือกตั้ง การเข้าสู่อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและบริหาร โดยเฉพาะการคำนวณสัดส่วน ส.ส.ที่ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ พรรคที่ได้คะแนนน้อยกว่า “ส.ส.พึงมี” พรรคเล็กพรรคจิ๋วทั้งหลายได้ ส.ส.เกือบ 30 พรรค จำนวน ส.ส.กลายเป็นเบี้ยหัวแตก ต้องตั้งรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่เกือบ 20 พรรควิธีการเลือกตั้งแบบพิสดาร ทำให้มี ส.ส.ที่ถูกกระแนะกระแหน “ส.ส.ปัดเศษ” จากการคำนวณ และผลการสำรวจความเห็นประชาชน พบว่า มีประชาชนจำนวนมากเห็นว่า “ความไม่เชื่อมั่นในองค์กรอิสระ” กลายเป็นปัญหาการเมืองที่สำคัญ และต้องแก้ไข ต้องสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้การเมืองแทรกแซง องค์กรอิสระต้องเพิ่มบทลงโทษองค์กรที่ไม่สุจริตถ้าจะยุบสภาเลือกตั้งในทันที โดยไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ รับรองได้ว่าการเมืองไทยจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นายกรัฐมนตรีก็ยังเป็นคนเดิม เพราะรัฐธรรมนูญออกแบบมาให้คณะรัฐประหาร คสช.สืบทอดอำนาจ โดยให้ 250 ส.ว.ที่ คสช.แต่งตั้ง มีอำนาจร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี หา ส.ส.มาสนับสนุนอีกแค่ 126 เสียง ก็เลือกนายกฯได้ส่วนพรรคอื่นๆ และภายใต้ระบบเลือกตั้งปัจจุบันจะต้องมี ส.ส.อย่างน้อย 376 เสียงขึ้นไป จึงจะเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ 250 ส.ว.มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีกี่ครั้งก็ได้ ภายในวาระ 5 ปี และที่สำคัญที่สุดก็คือรัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบมาเพื่อ “ให้แก้ไขไม่ได้” ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู.