หลายคนฟังคำชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะรู้สึกเฉยๆ เพราะเป็นเหตุผลเดิมๆที่อ้างมาหลายเดือนเพื่อต่ออายุประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อ้างว่าในการผ่อนคลายกิจการระยะ 5 มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก ในช่วงที่ผ่านมามีการติดเชื้อไม่มาก เพราะการเข้มงวดและมาตรการพิเศษคำว่า “มาตรการพิเศษ” น่าจะหมายถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมเป็นต้นมา นายกรัฐมนตรีปฏิเสธว่าไม่ใช่การลิดรอนสิทธิเสรีภาพตามเสียงวิจารณ์ของ ส.ส.ฝ่าย-ค้านที่ระบุว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้มีไว้เพื่อควบคุมโรค แต่ควบคุมประชาชน เช่น กลุ่มที่ออกมาชุมนุมย่อย หรือคนที่ขับรถเร็ว แม้แต่กลุ่มเด็กแว้นนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า การแก้ปัญหาโควิด-19 มีปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งคือ มีกฎหมายถึง 40 ฉบับ ที่แต่ละหน่วยงานถือไว้ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เช่น การเปิดปิดสถานที่ต่างๆ หรือการเข้าออกประเทศ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เคยอ้างว่า พ.ร.บ.โรคติดต่อมีปัญหา แต่แก้ไขได้ด้วยมติคณะรัฐมนตรีแต่ไม่มีใครเสนอให้ใช้มติ ครม.แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อมารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายเสนอทางออกที่จะไม่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่อ เอาอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปใส่ไว้ใน พ.ร.บ.โรคติดต่อ แต่หลังจากที่นายกรัฐมนตรีประกาศต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รองนายกฯกล่าวว่า แก้กฎหมายต้องใช้เวลาถ้าจะแก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่ออาจใช้เวลาเป็นปี จึงอาจไม่ทันเวลาที่จะนำมาแก้วิกฤติโควิด เห็นได้ชัดว่าไม่ได้จะแก้ไขจริงจัง เพราะถ้าต้องการแก้ไขอย่างจริงจังสามารถออกเป็นพระราชกำหนด จากนั้นจึงขอความเห็นชอบจากรัฐสภา พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ออกเป็น พ.ร.ก.ใช้มา 15 ปีแต่ก็ยังเป็น พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้จะแก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่อ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาไม่ยาก เพราะรัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และคุมเสียงเบ็ดเสร็จในวุฒิสภา แต่การแก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่อ มิใช่แค่เอาอำนาจใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปใส่ไว้ใน พ.ร.บ.โรคติดต่อแต่จะต้องกำหนดไว้ชัดเจนให้ใช้อำนาจนั้น เพื่อต่อสู้กับโรคระบาด ห้ามใช้อำนาจ พ.ร.บ.โรคติดต่อเพื่อปิดปากประชาชน กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ดังที่คนดังๆของโลกกว่า 500 คน ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกเตือนประชาคมโลกผ่านสถาบันนานาชาติให้ระวังรัฐบาลใช้โควิดเป็นกลไกฮุบอำนาจ.