พระรุ่นหลวงปู่ หลวงพ่อ รุ่นโบราณที่ขลังๆ ที่มักนั่งหลับตา ทำสมาธิหรือภาวนา มีคำเรียกในเชิงหยอกเอินกันว่า ท่านกำลัง “เล่นกสิณ”พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ เริ่มต้น “หลักเรื่องกสิณและฌาณ” ไว้ในหนังสือวิชชาแปดประการ (บริษัทสร้างสรรค์บุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ.2544) ว่าตามหลักในทางพุทธศาสนา กสิณและฌาณเป็นบันไดขั้นต้น เหมือนไวยากรณ์ ที่เราจำเป็นต้องเรียนก่อนจะตั้งต้นแปลหนังสือ ไปเริ่มจับวิชชาแปดประการทีเดียว ก็จะรู้สึกยากลำบากอยู่ตลอดกาล “กสิณ” หมายถึงเครื่องมือที่ช่วยทำใจให้มั่นคง เป็นสมาธิ ถือเอาวัตถุอันใดอันหนึ่งเป็นอารมณ์ เครื่องเพ่งดูกสิณมี 10 อย่าง เช่น ปฐวีกสิณ ใช้เดินเป็นอารมณ์ คือเอาดินมาทำเป็นวงกลม แล้วนั่งเพ่งดูจนเกิดผล ตามที่ท่านวางหลักไว้เป็นขั้นๆไปการทำปฐวีกสิณ ตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จ มีอยู่ 6 ขั้น1 การเลือกดินทำปฐวีกสิณ ห้ามไม่ให้ใช้ดินสีอื่น ท่านให้ใช้ดินสีอรุณ (สีแดงปนเหลือง) ขยำดินแล้วฉาบให้เป็นวงกลม กว้าง 1 คืบ 4 นิ้ว ให้หน้าราบดุจหน้ากลอง แล้วทำที่รองที่รอง จะใช้ผ้าเก่า หรือหนังหรือเสื่อลำแพน ขึงเข้ากับไม้ประกอบเป็นสี่มุมคล้ายกรอบรูป หรือจะตอกหลักลงไปในพื้นดิน ให้เอนมาทางตัวเราสำหรับใช้เป็นแท่นก็ได้ที่ที่ตั้งทำกสิณ ให้เลือกที่สงัด ซึ่งจะไม่มีใครรบกวนเลย ให้ทำเตียงที่นั่งไว้สูงราว 1 คืบ 4 นิ้วเตียงนี้ให้ตั้งห่างวงกสิณราว 2 ศอกคืบ ให้ตั้งอย่างพอจะแลเห็นวงกสิณอย่างสบาย ไม่ต้องก้มหรือแหงนคอจนเมื่อย ขณะนั่งเพ่งกสิณ มิให้รำลึกถึงสีและลักษณะของดิน ให้นึกรวมอย่างเดียวว่า “ดิน ดิน ดิน”หลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง ทำตั้งร้อยครั้ง พันครั้ง จนกว่าอุคคหนิมิตจะเกิดอุคคหนิมิต หมายความว่า จำได้ติดตา คือเมื่อหลับตาแล้ววงดินจะปรากฏในตา จะต้องติดตาอยู่นานเท่าที่เราต้องการ ถึงแม้จะหายไปก็อาจเรียกเอากลับมาได้ได้อุคคหนิมิต ก็เดินไปที่ที่แห่งที่สองที่เตรียมไว้ เจริญอุคคหนิมิตต่อ จนกว่าจะเกิดปฏิภาคนิมิตวิสุทธิมรรค พรรณนาว่ารูปดินที่ติดตา จะลอยเด่นดุจดวงจันทร์อันผุดผาดจากกลีบเมฆ เห็นชัดกว่าอุคคหนิมิตอีกร้อยเท่า และจะขยายหรือย่อส่วนได้ตามใจขั้นที่ 4 อุปจารนิมิต นับได้ว่ามีใจแน่วแน่ชั่วคราว แต่ยังอาจแปรปรวนไปได้ง่ายๆ จึงต้องพยายามรั้งใจให้แน่วแน่อยู่กับวงนิมิตติดตาอยู่นั้นเสมอ จนเข้าสู่ขั้นที่ 5 สมาธิที่แน่นแฟ้นที่สุด เรียกว่า อัปปนาสมาธิตั้งจิตมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวได้ ตลอดคืนวัน โดยดวงจิตไม่ผันแปรไปสู่อารมณ์อื่นเลยผู้ได้อัปปนาสมาธิ นับว่าบรรลุขั้นสูงสุดของการทำกสิณ จึงต้องมีวิธีบำรุงรักษา หาที่อยู่สบาย ระวังไม่ให้พระอาทิตย์ส่องตา หลีกเลี่ยงคำที่ไม่ไพเราะหู กินอาหารที่ไม่เป็นโทษ ข่มจิต ปลอบจิต ประคองจิตให้ชุ่มชื่นหลีกเลี่ยงคนอ่อนแอ ฟุ้งซ่าน เลือกพบคนเข้มแข็งมั่นคง และระวัง อย่าให้ใจเร็วเกินไป และเกียจคร้านในคัมภีร์วิสุทธิมรรค พระพุทธโฆษาจารย์ (กว่า 1,500 ปีที่แล้ว) กล่าวถึงผลอันจะพึงได้ จากปฐวีกสิณว่าผู้ใดทำสำเร็จ ย่อมสามารถบันดาลคน แม้คนเดียวให้มากคน นิรมิตแผ่นดินให้เกิดขึ้นสนอากาศ หรือบนน้ำ แล้วขึ้นไปยืน เดิน และนั่งได้นี่คือหนึ่งในฤทธิ์ที่จะเกิดมีต่อไป ในวิชชาแปดประการเรื่องกสิณ ในทัศนะของท่านอาจารย์พุทธทาส แห่งสวนโมกข์ ท่านฝึกวิชชานี้ได้ แต่เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ตามหลักของพระพุทธเจ้า คือไม่ช่วยการดับทุกข์ เมื่อศิษย์ใกล้ชิดถาม (เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา) ท่านตอบว่า“อย่าไปสนใจนักเลย ก็แค่ของเด็กเล่น”สำหรับเด็กวัดอย่างผม ในยามเหงาของชาวพุทธ นอกจากรู้จักการหลับตาภาวนา ทำสมาธิหลายๆวิธีไม่ให้ใจฟุ้งซ่านแล้ว การ “เล่นกสิณ” ก็เป็นอีกวิธีที่ท้าทาย เพราะของเด็กเล่นแบบนี้ เล่นยากมีคนทำได้ยากแม้ทำได้ถึงขั้นเนรมิตบางสิ่ง ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกศิษย์ว่า ของนั้นทำได้จริง แต่ไม่ใช่ของจริง.กิเลน ประลองเชิง