เมื่อ 11 มี.ค. สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ลงมติในขั้นตอนสุดท้าย โดย ส.ส.ในสภาส่วนใหญ่ 227-186 เสียง เห็นด้วยกับ ส.ว. ที่สนับสนุนในมติที่ห้ามการกระทำทางทหารใดๆ โจมตีอิหร่านโดยไม่ได้รับความเห็นชอบผ่านสภาคองเกรส ซึ่งเป็นการควบคุมอำนาจของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยลงนามคำสั่งเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ให้ส่งโดรนลอบสังหาร พล.อ.กัซเซม สุไลมานี ผู้นำหน่วยพิเศษกองทัพปฏิวัติอิหร่านที่สนามบินกรุงแบกแดด ของอิรัก จนทำให้สถานการณ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดอย่างหนัก อันนำไปสู่อิหร่านตอบโต้กลับด้วยการโจมตีค่ายทหารในอิรักที่ทหารอเมริกันประจำการ เป็นเหตุให้ทหารได้รับบาดเจ็บทางสมองกว่า 100 นาย วันเดียวกัน เกิดเหตุจรวดขนาดเล็ก 18 ลูกยิงตกลงที่ฐานทัพอากาศทาจิ ตอนเหนือของกรุงแบกแดด ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิต 1 นาย ทหารอังกฤษ 1 นาย และผู้รับเหมาชาวอเมริกันอีก 1 ราย บาดเจ็บราว 12 ราย แต่ไม่ได้ระบุสัญชาติ ซึ่งตัวเลขความสูญเสียอาจเพิ่มขึ้น ด้วยมีผู้บาดเจ็บอาการสาหัส คาดว่าเป็นฝีมือของกลุ่มกองโจรที่มีอิหร่านให้การสนับสนุน ขณะที่สื่อซีเรียรายงานว่า เครื่องบินเจ็ตไม่ทราบฝ่ายโจมตีเป้าหมายที่เมืองอัลบูกามัล ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งเป็นด่านยุทธศาสตร์ข้ามไปยังอิรัก มีแต่ความเสียหายจากวัสดุสิ่งของ.