ย้อนเหตุเขย่าโลกกรณี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สั่งเปิดปฏิบัติการสังหาร “พล.อ.กัสเซม โซไลมานี” ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ (Quds Force) สังกัดกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน บุคคลสำคัญในการวางแผนของกองทัพอิหร่าน จนรัฐบาลอิหร่านประกาศล้างแค้นอย่างสาสมไม่กี่วัน...ก็เปิดฉากปฏิบัติการ “ล้างแค้น” ด้วยการยิงขีปนาวุธหลายสิบลูกถล่มฐานทัพสหรัฐอเมริกาในอิรัก ตอบโต้การสังหาร “ผบช.หน่วยรบพิเศษคุดส์” ท่ามกลางความกังวลอาจลุกลามเป็นสงครามครั้งใหญ่ในช่วงข้ามคืน “โดนัลด์ ทรัมป์” ออกแถลงอย่างเป็นทางการ ในเหตุการณ์ยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพสหรัฐฯในอิรัก 2 แห่ง ไม่มีทหารอเมริกันได้รับบาดเจ็บ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธทันสมัยที่มีอยู่ แต่จะคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรอบใหม่เป็นการตอบโต้แทน เพื่อเป็นการลงโทษพลิกความคาดหมายของนานาประเทศ ต่างเฝ้าจับตาติดตามกันว่า จะเกิด “สงคราม” ขึ้น ทำให้ชาวโลกต่างโล่งอก ลดความตึงเครียดของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่านนี้ลง แต่...สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศนี้ยังคงต้องจับตากันต่อไป แม้ว่า “ไม่เกิดสงคราม”...แต่ความสัมพันธ์ 2 ประเทศ นับว่า “ขาดสะบั้นลงโดยเชิงอย่างถาวร” เสมือน “แก้วที่มันร้าว...ไม่นานก็คงจะแตก” ซึ่งสถานการณ์ภายนอก...ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ภายในยังคงมีแผลลึก ร้อนระอุ ที่รอวันระเบิดขึ้นมาอีกเมื่อไรก็ได้... เหตุความตึงเครียดนี้ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผอ.ศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า ปฏิบัติการสังหาร “กัสเซม โซไลมานี” สะท้อนสัญญาณจุดเปลี่ยนสำคัญถึงความขัดแย้ง ในทำนองการ “ต่อสู้” หรือ “ปะทะ” ระหว่างกองทัพสหรัฐอเมริกา และกองทัพอิหร่าน ที่ไม่ใช่แบบทางอ้อมเหมือนอดีตวันนี้สถานการณ์ 2 ประเทศ มีการใช้กำลังปะทะกันโดยตรง ในอนาคตมีความเสี่ยง และมีโอกาสกลายเป็นการก่อสงครามกันอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็มีหลายคนต่างออกมาวิเคราะห์ตรงกันว่า ทั้ง 2 ประเทศก็ไม่ต้องการก่อสงคราม เพราะมีสาเหตุข้อจำกัดมากมายในเรื่องนี้มีประเด็นอยู่ว่า...“สหรัฐอเมริกา” เคยเข้ามาทำสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางแล้ว 2 ครั้งคือ สงครามอัฟกานิสถาน และสงครามอิรัก ที่สร้างความเสียหายให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างมาก นอกจากการสูญเสียบุคลากรทางทหาร มีการสูญเสียคะแนนเสียงของผู้นำประเทศ และยังมีการสูญเสียงบประมาณมหาศาลอีกด้วย นั่นหมายความว่า...จะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย ที่ไม่มีประเทศใด สามารถเทียบเท่าได้ แต่การเข้ามาทำสงครามในสมรภูมิตะวันออกกลางต้องมีการจ่ายต้นทุนสูงมาก ในสุดท้ายก็ไม่สามารถเข้ายึดครอง หรือเอาชนะฝ่ายต่อต้านได้สำเร็จ จนต้องขอเจรจา มีนโยบายถอนกำลังออกมา โดยเฉพาะกรณีในอัฟกานิสถานทั้งๆเคยประกาศว่ากลุ่มติดอาวุธ “ตาลีบัน” คือ “กลุ่มก่อการร้าย” ไม่มีการเจรจากันได้ทั้งสิ้น แต่ตอนนี้กลับหันมาเจรจากับกลุ่มตาลีบัน เพื่อให้เป็นทางออกในการถอนกำลังทหารจากอัฟกานิสถานเช่นเดียวกับ...“สงครามอิรัก” ในยุคของ “บารัค โอบามา” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในปี 2010 ก็มีนโยบายขอถอนกำลังออกจาก “อิรัก” เพราะเกิดความเสียหาย เสียงบประมาณมากมาย ที่เรียกว่า... “ได้ไม่คุ้มเสีย” ทำให้ต้องถอนกำลังออกมานี้ แต่ก็ยังคงเหลือไว้บางส่วนอยู่บ้าง...ประเด็นน่าสนใจ...ถ้า “สหรัฐอเมริกา” เข้าทำสงครามกับ “อิหร่าน” ส่วนตัวคิดว่า...จะเกิดความเสียหายอย่างหนัก เพราะ “อิหร่าน” แตกต่างจาก “กลุ่มติดอาวุธตาลีบัน” และ “ซัดดัม ฮุสเซน” อดีตประธานาธิบดีอิรัก เพราะ “ซัดดัม ฮุสเซน” ถูกตัดแขน...ตัดขา มาตั้งแต่ปี 1990 ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย ทั้งมาตรการคว่ำบาตร ถูกกดดันต่างๆนานา และประเทศถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน ในช่วงปี 2003 สหรัฐอเมริกาเข้าทำสงครามกับอิรัก ยอมรับว่า “ซัดดัม ฮุสเซน” ไม่มีเขี้ยวเล็บแล้ว ทำให้สามารถเข้ายึดได้ในเวลาเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น...ส่วน “กลุ่มติดอาวุธตาลีบัน” ถือว่าเป็นกองกำลังทหารบ้าน จริงๆแล้ว...คือนักศึกษาศาสนาด้วยซ้ำไป เพราะคำว่า “ตาลีบัน” เป็นภาษาอาหรับ แปลเป็นภาษาไทย “นักศึกษา” ที่มีการจับอาวุธขึ้นมารุกคืบยึดในแต่ละหัวเมืองก่อนเข้ายึด จ.ซาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ที่มีการตั้งรัฐบาลของตัวเองขึ้นมา“สหรัฐอเมริกาเข้ามาทำสงครามเพียงไม่กี่วันก็สามารถยึดอำนาจได้ เพราะ “กลุ่มติดอาวุธตาลีบัน” และ “ซัดดัม ฮุสเซน” ต่างมีความโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก”แต่ไม่ใช่ “อิหร่าน” ที่จะสามารถยึดครองได้ง่าย เพราะภายในประเทศ ยังมีความเข้มแข็ง ประชาชนมีเอกภาพสนับสนุนรัฐบาลอย่างเต็มที่ ประกอบกับมีพันธมิตรในภูมิภาค อาทิ ซีเรีย กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ หรือกลุ่มทหารชาตินิยมอิสลามนิกายชีอะห์ในเลบานอน และรัฐบาลอิรัก ที่ยังมีแบ็กอัปจากประเทศมหาอำนาจ เช่น รัสเซีย จีน ด้วยฉะนั้นหันกลับมาคิดต่อว่า...สถานภาพเช่นนี้ “สหรัฐอเมริกา” จะต้องการทำสงครามเต็มรูปแบบกับ “อิหร่าน” ก็คงเป็นไปได้ยาก ย้อนมาที่...“อิหร่าน” ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ และไม่สามารถเทียบชั้นในอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ศักยภาพทางการทหาร ศักยภาพการรบต่อกรกับสหรัฐอเมริกาได้ เพราะเห็นตัวอย่าง...“อิรัก” และ “อัฟกานิสถาน” ที่บ้านเมืองแตกสาแหรกขาดเพราะสงครามมาแล้ว ซึ่ง “อิหร่าน” ก็ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น“ดังนั้น “อิหร่าน” ไม่ต้องการขยายความขัดแย้ง นำไปสู่การทำสงครามเต็มรูปแบบกับ “สหรัฐอเมริกา” เช่นกัน ทำให้ตอนนี้ทั้ง 2 ประเทศ ก็ต่างพยายามหลีกเลี่ยงการก่อสงครามกันโดยตรง...นับจากนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นอาจกลับไปสู่การปะทะเผชิญหน้าแบบเดิมคือ สงครามตัวแทน...” ดร.ศราวุฒิ ว่า“อิหร่าน” อาจทำสงครามจรยุทธ หรือสงครามกองโจร เพราะไม่สามารถสู้รบกับสหรัฐอเมริกาได้ มีเป้าหมายจริงๆ...คือ ขยายอิทธิพลในดินแดน ที่มี “ชีอะห์” ในภูมิภาคตะวันออกกลางเพื่อสร้าง “แลนด์ คอริดอร์” หมายถึง “ระเบียงภาคพื้นดิน” ในวันนี้ก็ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว ในการสร้างพันธมิตร อิทธิพล ตั้งแต่ประเทศอิหร่าน เข้าไปในแบกแดด และขยายถึง “ซีเรีย” เชื่อมโยงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เพื่อฝ่าวงล้อมในการปิดล้อมของสหรัฐอเมริกา...ขอให้สังเกตแผนที่ในภูมิภาคตะวันออกกลางนี้เห็นได้ชัดว่า...กองทัพสหรัฐอเมริกามีการตั้งฐานประจำการอยู่ในหลายประเทศ มีลักษณะปิดล้อมรอบประเทศอิหร่าน เมื่อเป็นเช่นนั้นจำเป็นต้องมีการฝ่าวงล้อมนี้ ด้วยการสร้างเส้นทางเขตอิทธิพล ที่เรียกว่า “แลนด์ คอริดอร์” แต่ยังไม่มีความสมบูรณ์ เพราะเกิดปัญหาที่ยังมีกองทัพสหรัฐอเมริกาประจำอยู่ในประเทศอิรักทำให้คิดว่า...สมรภูมิระหว่างอิหร่าน และสหรัฐอเมริกา ในการปะทะกันนี้คงไม่เกิดการทำสงครามเต็มรูปแบบกันโดยตรง แต่ความขัดแย้งกัน อาจเริ่มขึ้นในพื้นที่ประเทศอิรักเป็นเป้าหลัก เพราะกองทัพอิหร่านมีจุดประสงค์ต้องการขับไล่กองทัพสหรัฐอเมริกาออกจากพื้นที่ตะวันออกกลางทั้งหมดในมุม...“สหรัฐอเมริกา” ในการทิ้ง “อิรัก” ไปเท่ากับว่า “ยื่นอิทธิพลอำนาจ” ให้กับ “อิหร่าน” มีนักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า...ความจริง...“สหรัฐอเมริกา” ไม่ได้ห่วง “อิหร่าน” แต่กังวล “จีน” อาจเข้ามาแทนอิทธิพลตัวเองในตะวันออกกลาง เพราะ “จีน” เริ่มมีบทบาทความสัมพันธ์กับอิหร่านมากขึ้นในการสร้าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (One Belt One Road (OBOR)) กระชับความสัมพันธ์กับมหาอำนาจในตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่านและอียิปต์ ซึ่ง “อิหร่าน” และ “เอเชียกลาง” ถูกมองว่า เป็นจุดยุทธศาสตร์ของโครงนี้ โดยเฉพาะ “อิรัก” มีความสำคัญเชิง “ภูมิรัฐศาสตร์” ในภูมิภาคตะวันออกกลาง...มองภาพรวมใหญ่ “สหรัฐอเมริกา” กำลังถูกท้าทายจากประเทศมหาอำนาจอื่นของโลก เพราะต้องยอมรับว่า “สหรัฐอเมริกา” ดำรงความเป็นผู้นำ และครอบงำภูมิภาคตะวันออกกลางมายาวนาน นับแต่สงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน และเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับ “อิหร่าน” มาก่อนด้วยซ้ำ จนนำมาสู่ความขัดแย้งกันขึ้นนี้แม้ว่าวันนี้ทั่วโลกโล่งอก ชนวนระอุไม่นำไปสู่สงคราม แต่ความขัดแย้งสองประเทศยังไม่จบ ที่ยังคงถูกซุกไว้ใต้พรม...รอเวลาระเบิดได้ทุกเมื่อ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นเข้าสู่สถานการณ์รูปแบบใหม่ก็ได้.