แม้อ้อยจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีกฎหมายพิเศษให้การคุ้มครองดูแลเกษตรกรในเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ 70 : 30 นอกจากเกษตรกรจะมีรายได้ขั้นต้นจากการขายอ้อยแล้ว ยังจะได้ส่วนแบ่งรายได้ขั้นสุดท้ายจากการขายน้ำตาลทรายและขายกากน้ำตาล...เกษตรกรได้ส่วนแบ่ง 70% โรงงานได้ 30%แต่หลังจากบราซิลได้ยื่นข้อหารือต่อองค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวหาประเทศไทยอุดหนุนราคาน้ำตาลทราย เพราะราคาจำหน่ายในประเทศแพงกว่าที่ จำหน่ายในต่างประเทศ...ผลการเจรจาไทยประนีประนอมยอมยกเลิกโควตาการจำหน่ายน้ำตาล ภายในประเทศและปล่อยให้มีการลอยตัวราคาน้ำตาลนับแต่นั้นมาราคาอ้อยร่วงดิ่งเหวมาโดยตลอด ...ฤดูการผลิตปี 2559/60 ราคาอ้อยขั้นต้น ณ ระดับ ความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. เฉลี่ยทั่วประเทศ อยู่ที่ 1,083.86 บาทต่อตันอ้อย ฤดูการผลิตปี 2560/61 ราคาหล่นมาอยู่ที่ 880 บาทต่อตันอ้อยฤดูการผลิตปี 2561/ 62 หล่นมาเหลือ 719.47 บาทฤดูการผลิตปี 2562/63 น่าจะเหลือ 700 บาท ในขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ตันละ 1,000 บาทราคาอ้อยขั้นต้นซึ่งเป็นรายได้หลักยังต่ำเตี้ยขนาดนี้...รายได้ขั้นสุดท้ายจะเหลือสัก กี่มากน้อยเพื่อหารายได้มาเพิ่มให้กับชาวไร่อ้อย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) จึงได้เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาล พ.ศ.2527เนื่องจากปัจจุบันสิ่งที่ได้จากอ้อย ไม่ใช่มีแค่น้ำตาลทรายกับกากน้ำตาลที่เอาไปทำเอทานอล เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป “ทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนไปมาก อ้อยสามารถนำไปทำเป็นสินค้าได้สารพัด ไม่ว่า เยื่อกระดาษ บรรจุภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ กรดอินทรีย์ กรดอะมิโน กรดส้ม กรดนม กรดมะนาว สารแต่งเติมรสชาติอาหาร เครื่องสำอาง ยา เวชภัณฑ์ พลาสติกชีวภาพ ฯลฯ แต่ปรากฏว่า กฎหมายที่ใช้มานาน 35 ปี กลับให้นำรายได้จากการขายน้ำตาลทรายกับกากน้ำตาล มาแบ่งเป็นรายได้ให้กับเกษตรกรเท่านั้นเอง”ดร.บุรินทร์ สุขพิศาล อดีตอนุกรรมาธิการและเลขานุการ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาด้านอ้อย ในกรรมาธิการวิสามัญแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ สภาผู้แทนราษฎร บอกถึงสิ่งที่คนไทยไม่เคยรู้ว่า อ้อยทั้งต้นสามารถนำไปผลิตสินค้านำมาแบ่งปันเป็นรายได้ขั้นสุดท้ายได้มากมายเหลือคณานับแต่ พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ.2527 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้น้ำอ้อยนำไปผลิตเป็นน้ำตาลทรายเท่านั้น ไม่สามารถนำไปทำเป็น “ผลิตภัณฑ์อื่น” ได้ ทำให้เราต้องนำน้ำอ้อยมาเคี่ยวให้แห้ง ผ่านกระบวนการผลิตจนเป็นน้ำตาลทราย เสียพลังงานและต้นทุนไปฟรีๆ...แต่พอจะนำน้ำตาลทรายไปผลิตเป็นสินค้าอย่างอื่น ต้องละลายน้ำกลับเข้าไปใหม่อีกรอบในขณะที่ประเทศอื่นๆ บราซิล อินเดีย จีน สามารถนำน้ำอ้อยไปใช้ผลิตสินค้าอื่นๆได้โดยตรง ไม่ต้องเปลืองพลังงานเคี่ยวให้แห้งก่อน ต้นทุนของเขาจึงต่ำกว่าเราและทั้งที่ ครม.ได้มีมติ เมื่อ 17 ก.ค. 2561 เรื่อง มาตรการการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย รวมไปถึงการแก้ไข พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการโดยให้ปรับปรุงนิยามใหม่ของคำว่า...น้ำตาลทราย เพิ่มเติมให้สามารถนำ “น้ำอ้อย” ไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นที่มีราคาสูงกว่าน้ำตาลทรายได้เพื่อจะนำกำไรที่ได้จากการขายน้ำอ้อย มาแบ่งปันเป็นค่าอ้อยขั้นสุดท้ายให้กับเกษตรกรได้บ้างนอกจากนั้น การแก้กฎหมายยังมีผลให้ปริมาณน้ำตาลทรายในตลาดลดลง เพราะน้ำอ้อยถูกนำไปใช้ทำอย่างอื่น ราคาน้ำตาลทรายจะได้ขยับขึ้น ส่งผลให้รายได้เกษตรกรขยับขึ้นตามอีกด้วย แต่เมื่อร่างแก้ไขกฎหมายถูกส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบความถูกต้องว่า จะไปขัดแย้งกับกฎหมายอื่นหรือไม่...ปรากฏว่า สาระหลักสำคัญของกฎหมายที่จะให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น กลับถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มผลประโยชน์ที่มีสายโยงใยกลุ่มโรงงานน้ำตาลทรายถึงขนาดกฤษฎีกาจะไม่ให้มีการแก้ไขนิยามคำว่า น้ำตาลทราย นั่นเท่ากับว่า ฝันและความหวังของชาวไร่อ้อยถูกดับเสียสนิท...มีแนวโน้มกฎหมายที่ทำมาเพื่อผลประโยชน์ของเกษตรกรจะถูกแช่แข็ง ไม่มีสิทธิได้ตั้งท้องเข้าสภาฯเป็นแน่นับแต่นี้ต้องรอดูใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้แสดงความรักและห่วงใยในเกษตรกรมาโดยตลอด...จะกล้าเดินหน้าหักด่านกลุ่มผลประโยชน์เพื่อเกษตรกรแค่ไหนเพราะไม่ต้องอะไรมาก แค่แก้กฎหมายให้ใบอ้อย ชานอ้อย ที่เอาไปขายให้โรงงานผลิตไฟฟ้าสามารถนำมาแบ่งปันให้เกษตรกรได้...ชาวไร่อ้อยจะมีรายได้จากส่วนแบ่งขั้นสุดท้าย 70% เพิ่มมาอีกประมาณตันละ 200 บาทและถ้าแก้กฎหมายให้รวมไปถึงน้ำอ้อยด้วยแล้ว...เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มมากขนาดไหน.ชาติชาย ศิริพัฒน์