“ข้าพเจ้าอยากเห็นชาวนาชาวไร่ มีงานศิลปาชีพพิเศษเป็นงานเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเพื่ออนุรักษ์ศิลปโบราณอันงามวิจิตรของไทยไว้ให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทย งานศิลปาชีพจะดีเด่นเพียงไรอยู่ที่ความขยัน ความประณีต ศิลปะในการออกแบบ และฝีมือในการประดิษฐ์ของช่างโดยเฉพาะ”...พระราชดำรัสดังกล่าวของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ตอกย้ำให้พวกเราคนไทยได้ตระหนักว่า ไม่มียุคสมัยใดที่ศาสตร์และศิลป์อันเป็นมรดกของแผ่นดินไทย จะได้รับการอนุรักษ์ทำนุบำรุงเท่ากับยุคสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะ “นาฏกรรมโขน” ถือเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงสุดของสยามประเทศ ที่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับการฟื้นฟูให้กลับมาแพร่หลายเป็นที่รู้จักอีกครั้ง ในฐานะเอกลักษณ์อันน่าภาคภูมิใจของชาติไทย ก็ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ย้อนกลับไปในปี 2550 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชดำริให้จัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนและละครขึ้นใหม่ตามโบราณราชประเพณี พร้อมจัดการแสดงโขนพระราชทานเป็นครั้งแรก เพื่ออนุรักษ์และสืบสานการแสดงโขน ซึ่งเป็นมรดกสำคัญของชาติไทยมิให้สูญหายไปตามกาลเวลา โดยคัดเลือกจากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกพรหมาศ บทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จัดแสดงในรูปแบบการบรรเลงด้วยวงโยธวาทิต และวงปี่พาทย์มโหรีร่วมบรรเลง มีการแสดงรำประเลงเป็นชุดรำเบิกโรง นับแต่นั้นเป็นต้นมา จึงกลายเป็นพันธกิจสำคัญ ที่จะต้องจัดการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯทุกปี โดยแต่ละปีจะมีความวิจิตรยิ่งใหญ่ให้กล่าวขวัญแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขนพระราชทาน ชุดนางลอย, ชุดศึกมัยราพณ์, ชุดจองถนน, ชุดศึกกุมภกรรณ ตอนโมกขศักดิ์, ชุดศึกอินทรชิต ตอนนาคบาศ และตอนพรมมาศ สำหรับการแสดง โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ประจำปี 2562 มีชื่อตอนว่า “สืบมรรคา” จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. ถึง 5 ธ.ค. 2562 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯได้ปรับปรุงบทโดยยึดตามแบบบทละครเรื่องรามเกียรติ์ บทพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 2 เป็นหลัก นอกจากจะมีเนื้อหาสนุกสนานเร้าใจ หลากรส และเต็มไปด้วยสีสันกว่าทุกตอน โดยขนตัวละครเอกมาครบ ทั้งพระราม, พระลักษณ์, นางสีดา, ทศกัณฐ์ และหนุมาน ความโดดเด่นของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สืบมรรคา” ยังอยู่ที่ความยิ่งใหญ่อลังการของฉาก ที่เนรมิตขึ้นด้วยเทคนิคพิเศษตระการตา ไม่ว่าจะเป็นฉากหนุมานเนรมิตกายให้ใหญ่มหึมา แล้วทอดหางข้ามแม่น้ำต่างสะพาน เพื่อให้สมุนวานรไต่ข้ามไปอีกฝั่ง หรือจะเป็นฉากทศกัณฐ์ขึ้นบุษบกเหาะหนีหนุมาน รับประกันว่าใครเป็นแฟนหนุมานต้องไม่ผิดหวัง เพราะงานนี้ราชาแห่งวานรสำแดงฤทธิ์เดชได้เหลือล้น ทั้งปราบยักษ์และฟาดฟันเหล่าอสูรร้ายไปตลอดทางจนถึงกรุงลงกาโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สืบมรรคา” ประกอบไปด้วย 2 องก์ รวม 10 ฉาก โดยองก์ที่หนึ่ง เปิดฉากแรกด้วยฉาก “พลับพลา” เมื่อพระรามและพระลักษณ์ได้กองทัพวานรเมืองขีดขินและเมืองชมพูเป็นทหาร จึงยกทัพใหญ่มาตั้งที่เขาคันธกาลา พร้อมมีบัญชาให้หนุมานนำสไบและธำมรงค์ของนางสีดาไปแจ้งข่าวนางสีดาว่า บัดนี้พระรามยกทัพมาตาม หลังนางสีดาถูกทศกัณฐ์ เจ้ากรุงลงกา ลักพาตัวไป เดินเรื่องเข้าสู่ฉากที่สอง “สระบัว” ทั้งหนุมาน, องคต และชมพูพาน นำกองทัพวานรมาถึงกลางป่า พบสระบัวใหญ่ร่มรื่น จึงหยุดพัก ตกดึกยักษ์ปักหลั่น ซึ่งถูกสาปให้เป็นอสูรเฝ้าสระ ขึ้นมาพบเหล่าวานรหลับเกลื่อนกลาด จึงคิดจะฆ่าทิ้ง แต่กลับถูกวานรตลบหลังสกัดจับตัวไว้ได้ สุดท้ายอสูรร้ายต้องยอมจำนน และขอให้เจ้าองคตปลิดชีพตนทิ้งซะ เพื่อให้หลุดพ้นจากคำสาปสำหรับฉากที่สาม “เมืองมายันเมืองร้าง” เป็นฉากโรแมนติกของหนุมานเต็มๆ เมื่อหนุมานนำทัพมาถึงเมืองร้าง ได้พบนางบุษมาลี ซึ่งเป็นนางฟ้าที่ถูกสาป เจ้าแห่งวานรอาสาช่วยถอนคำสาป โดยเกี้ยวพานางบุษมาลีเป็นเมีย ก่อนจะส่งหญิงคนรักคืนสู่สวรรค์ ฉากนี้มีการโชว์เทคนิคการหาวเป็นดาวเดือนของหนุมานเพื่ออวดหญิงขึ้นชื่อในเรื่องความยิ่งใหญ่อลังการของฉากก็ต้องยกให้ฉากที่สี่ “แม่น้ำใหญ่” เมื่อหนุมานและเหล่าวานรเดินทางมาเจอกับแม่น้ำใหญ่ ไม่สามารถข้ามไปได้ หนุมานจึงเนรมิตกายให้ใหญ่มหึมา แล้วเอาหางพาดต่างสะพาน เพื่อให้กองทัพวานรไต่ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง อีกฉากที่มีสีสันไม่แพ้กันคือ “เขาเหมติรันถ้ำนกสัมพาที” หนุมานและเหล่าวานรเดินทางไต่เขามาอย่างยากลำบาก จนทหารวานรเริ่มถอดใจไม่อยากทำสงคราม พี่ใหญ่อย่างหนุมานต้องตักเตือนน้องๆให้ระลึกถึงคำสัตย์ที่อาสามาเป็นทหาร แม้ตัวตายอย่าเสียดายชีวิต โดยยกตัวอย่างของนกสดายุที่ถูกทศกัณฐ์ฆ่า ขณะนั้นนกสัมพาทีได้ยินเรื่องราวของน้องชายสดายุ จึงร้องขอให้หนุมานช่วยถอนคำสาปจากพระอาทิตย์ พร้อมตอบแทนหนุมานด้วยการบินพาไปดูเกาะลงกา งานนี้หนุมานใจเด็ดลอบเข้าไปบุกกรุงลงกาเพียงลำพัง “กลางทะเล” เป็นฉากปิดท้ายขององก์แรก ที่ทิ้งความตื่นเต้นไว้ให้ลุ้นต่อในองก์สอง โดยฉากนี้หนุมานเหาะมาถึงกลางทะเล เจอนางผีเสื้อสมุทรยืนจังก้ารักษาด่านเข้าเมืองลงกา ขณะที่นางผีเสื้อสมุทรพยายามจะจับหนุมานกินกรุบกรับ หนุมานก็ใช้ไหวพริบชิงเหาะเข้าปากวิ่งทะลุท้องนางผีเสื้อสมุทร ปั่นป่วนดีไหมล่ะองก์ที่สองจะสนุกเข้มข้นน่าติดตามขนาดไหน งานนี้ทศกัณฐ์และหนุมานเผชิญหน้ากันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่ไหนลงท้ายทั้งเมืองลงกาจึงถูกเผาเหี้ยน หนุมานใช้เล่ห์กลใด จึงสามารถขับไล่ทศกัณฐ์ให้ขี่บุษบกเหาะหนีตูดชี้ ต้องตามไปชมกันติดขอบเวที นี่คือมรดกล้ำค่าของชาติที่คนไทยทุกคนควรร่วมกันอนุรักษ์ไว้ด้วยความหวงแหนยิ่งชีพ.ทีมข่าวหน้าสตรี