ทุกวันนี้ “การซื้อรถยนต์ใหม่” หรือ “การซื้อรถเต็นท์มือสอง” ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะธุรกิจนี้แข่งขันสูง ส่งผลให้มีโปรโมชันออกมาจากค่ายรถยนต์มากมาย ให้เกิดแรงจูงใจต่อผู้ซื้อ แต่การซื้อต้องทำสัญญาเช่าซื้อ ผ่านไฟแนนซ์ และสัญญานี้ก็เป็นอันสมบูรณ์ สามารถนำ “รถคันโปรด” ออกมาขับได้เริ่มสตาร์ตผ่อนงวดรถกับ “ไฟแนนซ์” ตามสัญญาให้ครบถ้วน แต่มีปัญหาอยู่ว่า...เมื่อนำรถมาขับระยะหนึ่ง มักไม่ผ่อนชำระกับไฟแนนซ์ กลับนำรถยนต์เช่าซื้อติดไฟแนนซ์ออกมา “ขายดาวน์” ให้ “ผู้ซื้อ” ที่ต้องจ่ายเงินก้อนจำนวนหนึ่งให้กับผู้ขาย และผ่อนต่อกับไฟแนนซ์ในงวดที่เหลืออยู่ด้วยกลายเป็น “ความเสี่ยงใกล้ตัว” ในเรื่องข้อกฎหมาย มีผลเกิดเป็น “คดีอาญาและคดีทางแพ่ง” ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ที่อาจเป็นบทเรียนราคาแพงตามมาปัญหาโลกแตกเรื่องหลอกซื้อ-ขายดาวน์รถยนต์นี้ คมเพชญ จันปุ่ม หรือ “ทนายอ๊อด” ทนายความอิสระให้ข้อมูลว่า ในเรื่องการถูกหลอกขายดาวน์แล้วถูกเชิดรถไปเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะรูปแบบ “ขายดาวน์” มีความง่ายไม่ซับซ้อนยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องมีใบคู่มือสมุดจดทะเบียนตัวจริงซึ่งสามารถใช้เพียงสำเนาใบคู่มือฯ และสัญญาเช่าซื้อ ที่บริษัทไฟแนนซ์ ให้มาคู่กับรถไว้อยู่แล้ว ก็นำมาใช้เป็นหลักฐานในการซื้อ-ขายดาวน์กันได้ กลายเป็นช่องทาง “พวกมิจฉาชีพ” กำลังนิยมใช้เป็นเครื่องมือ “หลอกลวงเหยื่อร้อนเงิน” ต้องการใช้เร่งด่วนโดยเฉพาะการประกาศขายดาวน์ผ่านตามตลาดรถยนต์ หรือเว็บไซต์ออนไลน์ต่างๆ มักเกิดการซื้อขายกับ “บุคคลไม่รู้หน้า...ไม่รู้ใจ” ทำให้เจ้าของรถถูกกลุ่มมิจฉาชีพติดต่อซื้อขายรถไปแล้ว และไม่ยอมส่งค่างวดต่อ มีผลกระทบต่างๆจนตกเป็นผู้เสียหาย ต้องรับภาระผ่อนได้เฉพาะแต่กุญแจ...ไม่มีโอกาสได้ใช้สอยรถอีกต่อไป...ซ้ำร้าย...“เจอแจ็กพอต” ผู้ซื้อนำไปขายดาวน์ต่ออีกทอดหนึ่ง หรือ “นำรถไปจำนำ”...หากไม่นำเงินมาไถ่ถอนรถตามเวลาตกลงกัน...สุดท้าย “ผู้รับจำนำ” ก็นำรถออก “ขายตลาดมืด” หรือประกาศขายผ่านเว็บไซต์ต่างๆ และมีบางคันถูกส่งขายไปประเทศเพื่อนบ้าน ในราคาถูกกว่ารถป้ายแดงทั่วไป 80 เปอร์เซ็นต์สิ่งสำคัญตั้งแต่ขายดาวน์ไปจนถึงการซื้อขายรถหลุดจำนำ มีการทำสัญญากันไว้ทุกขั้นตอน ในการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ในความผิดทางอาญา ที่เป็นข้ออ้างไม่รู้ถึงการกระทำความผิดมีมาก่อนหน้านั้น ทำให้เกิดเป็นคดีความผิดสัญญาในทางคดีแพ่งหลักๆนี้...ก็คือขั้นตอนกระบวนการ “โดนหลอก โดนโกง ในเรื่องการซื้อ-ขายดาวน์รถ” ที่ไม่เปลี่ยนสัญญาผู้เช่าซื้อกับไฟแนนซ์ หรือการเปลี่ยนมือ...แต่ในทางกฎหมาย...“การเช่าซื้อรถยนต์” มีไฟแนนซ์เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์รถยนต์นั้น ผู้เช่าซื้อไม่สามารถขายต่อให้บุคคลอื่นได้ ถ้ายังส่งค่างวดรถให้แก่ไฟแนนซ์ไม่ครบ เพราะการถือกรรมสิทธิ์ในตัวรถ ยังคงเป็นของไฟแนนซ์ ซึ่งผู้เช่าซื้อมีสิทธิเพียงการครอบครองไว้ใช้สอยรถเท่านั้นหากอยากขายดาวน์ต้องให้ผู้ซื้อเปลี่ยนชื่อผู้เช่าซื้อใหม่ ในสัญญาที่เคยทำไว้ แต่ไฟแนนซ์จะเปลี่ยนชื่อผู้เช่าซื้อให้ก็ได้...หรือไม่เปลี่ยนชื่อให้ก็ได้ เพราะในทางพฤตินัยไฟแนนซ์คือเจ้าของรถตัวจริง มีอำนาจพิจารณาในการตัดสินใจ ที่ต้องยึดให้เกิดประโยชน์มากกว่าเสียผลประโยชน์ ที่ผ่านมาประชาชนทั่วไปกลับไม่เข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และสัญญาการเช่าซื้อรถยนต์ มักนำรถไปขายดาวน์ให้กับบุคคลอื่น ในทางกฎหมายไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายได้ ถ้าผู้ซื้อไม่ยอมผ่อนค่างวดต่อ ทำให้...ไฟแนนซ์ก็ต้องมาทวงถามกับผู้ขายดาวน์ ในฐานะคู่สัญญาผู้เช่าซื้อรถกลายเป็นปัญหาให้กับผู้ขายดาวน์ ต้องติดตามกับผู้ซื้อให้ชำระค่างวดต่อ หากไม่ชำระหรือติดต่อไม่ได้ ก็จะนำมาสู่การฟ้องคดี ทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญา ตามมา...เงื่อนปมปัญหาต้นเหตุของคดีความนั้น...เริ่มจากผู้ขายดาวน์ต้องแจ้งกับไฟแนนซ์ เพื่อขอหนังสือมอบอำนาจ มาแจ้งความดำเนินคดีอาญากับผู้ที่ซื้อรถไป ในข้อหา “ยักยอกทรัพย์” ตาม ป.อ.ม.352...ผู้ใดครอบครองเบียดบังเอาทรัพย์ผู้อื่น มีความผิดยักยอกต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทเมื่อมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นอยู่แล้ว มีการนำรถไปขายดาวน์ต่ออีกทอดหนึ่ง หรือนำรถไปจำนำ...“บุคคลรับซื้อ” หรือ “ผู้รับจำนำ” ก็ต้องตกเป็น “รับของโจร” หากมีการขายต่อกันอีกเป็นทอดไปเรื่อยๆ คนมี “รถกรณีไว้ในครอบครอง” ก็ตกเป็นผู้ต้องหา “ร่วมกันรับของโจร” เช่นกันตาม ป.อ.ม.357...ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพา ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ซึ่งทรัพย์ได้มาโดยการกระทำความผิด ลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ มีความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทสุดท้าย...ไม่สามารถติดตามรถยนต์คืนมาได้ และไม่มีใครส่งค่างวด บริษัทไฟแนนซ์ต้องมาไล่ฟ้องคดีกับคู่สัญญา ทั้งผู้เช่าซื้อรถหรือผู้ค้ำประกัน ในข้อหา “ยักยอกทรัพย์” หรือ “ฟ้องคดีทางแพ่ง” เพื่อติดตามรถเช่าซื้อไปคืนมา หรือให้ใช้ค่าเสียหายตามราคารถ“ถ้ามีการติดตามรถมาได้ เรื่องก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ “ผู้เช่าซื้อ” ยังมีโอกาสต้องรับผิดชอบ หากมีการนำรถขายทอดตลาด ได้ต่ำกว่าค่าเสื่อมสภาพรถ จะถูกเรียกราคาส่วนขาด ด้วยการถูกฟ้องทางแพ่งต่ออีก แต่หากได้เงินเกินกว่าราคาค่าเสื่อมสภาพของรถ ต้องคืนเงินส่วนเกินนั้นให้กับผู้เช่าซื้อรถ” คมเพชญ ว่า ทำให้ปัจจุบันมี “รถหลุดจำนำ” ประกาศขายผ่านเว็บไซต์มากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็มักเป็น “รถจำนำติดไฟแนนซ์” ที่ยังผ่อนไม่หมดที่นำมาจำนำไว้ มีหลักฐานการจำนำชัดเจน ทั้งสำเนาในเล่มทะเบียนรถยนต์ สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ เอกสารโอนลอยรถยนต์ เอกสารมอบอำนาจ เพื่อยืนยันว่า “ไม่ใช่รถขโมย”แต่เรียกกันว่ารถประเภท “รถสีเทา” เพราะรถติดไฟแนนซ์ ผู้เช่าซื้อกลับนำมาทำการซื้อขายโอนรถซ้ำซ้อนผิดสัญญาเช่าซื้อ ที่มีเจ้าของรถตัวจริง คือไฟแนนซ์ ทำให้เกิดปัญหากับคนซื้อรถหลุดจำนำติดไฟแนนซ์นี้มาใช้งานหากไฟแนนซ์ตามรถได้ต้องถูกยึดรถคืน และเรียกร้องขอเงินคืนกับใครไม่ได้เลยซ้ำร้าย...อาจถูกดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันรับของโจร” เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา เมื่อมีการแจ้งความทางอาญา ก็ถือว่าการซื้อรถหลุดจำนำติดไฟแนนซ์ มีการกระทำผิดสำเร็จแล้ว ทำให้คนซื้อ ต้องยอมรับ “ความเสี่ยง” เพราะการซื้อรถราคาต่ำกว่าท้องตลาดนี้ ย่อมมองแง่ลบไว้ว่า “เป็นรถไม่ชอบมาพากล”แต่นิยมซื้อรถหลุดจำนำกัน...มาจากราคาถูกสามารถใช้สอยได้ทั่วไป เพราะรถนี้ยังนำไปต่อทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกได้ตามปกติ ประกอบกับรถมีสำเนาเล่มทะเบียนรถยนต์ และสัญญาเช่าซื้อ ทำให้ทำได้ง่ายมากขึ้น ยกเว้นรถคันนี้มีการแจ้งความรถหายไว้ จะต้องมาอายัดไว้ตรวจสอบตามความจริงแล้ว...“ผู้ขายดาวน์” ส่วนใหญ่ไม่ค่อยแจ้งไฟแนนซ์ทราบว่า ตัวเองนำรถไปขายดาวน์ เกรงเกิดปัญหาเรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อ ที่ไม่สามารถขายโอนรถซ้ำซ้อนต่อให้ใครได้ อาจถูกยกเลิกสัญญา และถูกแจ้งความดำเนินคดียักยอกทรัพย์ และฟ้องคดีทางแพ่ง ทำให้ไม่มีใบมอบอำนาจในการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ซื้อรถไปแม้แต่ไฟแนนซ์ก็ไม่สนใจแจ้งความตามรถ เพราะมีหน้าที่ติดตามกับบุคคลเช่าซื้อ หรือบุคคลค้ำประกันอยู่แล้ว ต้องรับผิดชอบตามสัญญา หากไม่จ่ายก็ฟ้องคดี อาจนำมาสู่การยึดทรัพย์สินขายทอดตลาดต่อไป เพราะคดีนี้ไฟแนนซ์ไม่ค่อยเจรจาให้ผ่อนชำระ แต่จะให้ “ศาล” มีคำพิพากษาบังคับคดีเลยทันทีสิ่งที่น่าสนใจ...กรณี “คดีเช่าซื้อรถแทรกเตอร์” มีเงื่อนไขให้นำทรัพย์สินค้ำประกันเช่าซื้อ ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะนำที่นามาค้ำประกัน และใช้รถ 1 ปีก็ไม่ผ่อนค่างวด แต่กลับนำรถขายคืนกับบริษัทที่ซื้อมา...และนำรถขายทอดตลาดต่ำราคา ทำให้ไม่ได้ราคาค่าเสื่อมสภาพรถ และย้อนกลับมาเรียกร้องค่าเสียหายกับชาวนาสุดท้ายไม่มีเงินจ่ายที่นาค้ำประกันถูกยึด และนำไปขายทอดตลาดอีก ทำให้นายทุนเข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินนี้ ที่กำลังเกิดขึ้นในภาคอีสานหลายแห่ง สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวนาอย่างมาก...เตือนภัยกันไว้...อย่าคิดสั้น “ฝ่าฝืนสัญญา” อย่ามองหาซื้อ “ของถูกเกินไป” เพราะอาจสร้างปัญหาให้ตัวเองในอนาคต.