เสาร์ที่แล้วคุณพี่ “ลม เปลี่ยนทิศ” เขียนถึง เมืองหลวงใหม่อินโดนีเซีย ซึ่งประธานาธิบดีโจโกวิโดโด ประกาศจะย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตาไปตั้งที่จังหวัดกาลิมันตันตะวันออก บนเกาะบอร์เนียว ภายในปี 2567 ต่อไปใครจะไปเที่ยวอินโดนีเซีย นอกจากบาหลีกับมหาเจดีย์บุโรพุทโธ ก็อาจลองไปเมืองหลวงใหม่ดูบ้าง ไม่ต้องห่วงแผ่นดินไหวภูเขาไฟปะทุ เพราะเกาะบอร์เนียวอยู่นอกวงแหวนแห่งไฟวันนี้ผมไม่ได้มาชวนท่านผู้อ่านไปเที่ยวอินโดนีเซีย แต่อยากคุยมุมกลับดึงคนอินโดนีเซียมาเที่ยวเมืองไทย เพราะประเทศอินโดนีเซีย มีประชากร 265 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา และ อยู่ใกล้ประเทศไทยนิดเดียว นั่งเครื่องบินแค่ 3 ชั่วโมงกว่า ปีนึงบินมา 2-3 รอบก็ยังได้แต่ทำไม 10 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยมากที่สุดกลับไม่มีอินโดนีเซียติดอยู่ในโผ? คำถามนี้ขอฝาก การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.) และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เอาไปคิดเป็นการบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมือไม่ถึง หรือตีโจทย์ไม่แตก ถึงได้ปล่อยตลาดเกรดเอทิ้งไปอย่างน่าเสียดายไปดูกันครับว่า 10 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เที่ยวไทยมากที่สุดในปี 2561 มีชาติไหนบ้าง 1.จีน 10.53 ล้านคน 2.มาเลเซีย 4.09 ล้านคน 3.เกาหลีใต้ 1.79 ล้านคน 4.ลาว 1.75 ล้านคน 5.ญี่ปุ่น 1.65 ล้านคน 6.อินเดีย 1.59 ล้านคน 7.รัสเซีย 1.47 ล้านคน 8.สหรัฐอเมริกา 1.12 ล้านคน 9.สิงคโปร์ 1.06 ล้านคน 10.เวียดนาม 1.02 ล้านคน ส่วนอินโดนีเซียมาเที่ยวไทย แค่ประมาณ 6 แสนคนนักท่องเที่ยวอินโดนีเซียส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายจีน มีกำลังซื้อสูงพอตัว ชอบช็อปปิ้ง แต่ไม่ใช่ห้างหรูไฮเอนด์ เขาชอบไปประตูน้ำ ห้างแพลทินัม กับสวนจตุจักร บางคนเอากระเป๋าเดินทางเปล่าๆเตรียมมาขนเสื้อผ้าจากประตูน้ำกลับไป เพราะแฟชั่นเสื้อผ้าไทยกิ๊บเก๋ล้ำสมัยกว่าอินโดนีเซียมากนักนอกจากกรุงเทพฯแล้วยังมีพัทยาที่นักท่องเที่ยวอินโดนีเซียชอบมาก เป็นตลาดกลุ่มครอบครัว ตั้งใจมาเล่นสวนน้ำเพราะมีขนาดใหญ่เล่นมันจุใจ ต่างกับสวนน้ำสวนสนุกที่อินโดนีเซียที่มีขนาดเล็กประชากรอินโดนีเซีย 265 ล้านคน ขอแค่ 1% (2.65 ล้านคน) มาเที่ยวไทยก็พอครับ จะมีรายได้เข้าประเทศอีกมหาศาล ททท.ต้องตีโจทย์ให้แตก ทุ่มเงินไปทำตลาดตรงนี้ดีกว่า ใส่งบฯเพิ่มอีกนิด ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้มากหน่อย ถ้าจับจุดได้เมื่อไหร่คุ้มค่าแน่นอนอันที่จริง ททท.ควรเลิกทุ่มงบฯจำนวนมากละลายไปกับการทำตลาดยุโรปได้แล้ว ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า ตัวเลขฟ้องอยู่แล้ว 10 อันดับแรกไม่มีนักท่องเที่ยวยุโรปเลย แม้แต่สหรัฐฯก็อยู่อันดับ 8 และก็เห็นพูดกันจังอยากได้นักท่องเที่ยวคุณภาพระดับเศรษฐีไฮโซ ผู้ประกอบการตัวจริงฟังแล้วขัดหูทุกที เพราะเจอแต่เศรษฐีฝรั่งขี้ตืด แถมเรื่องเยอะอีกต่างหากขอทิ้งท้ายขอฝากข้อสังเกตฝากถึง นายกฯตู่ สักเล็กน้อย ตาม พ.ร.บ.โรงแรม กำหนดให้ผู้ประกอบการโรงแรมต้องแจ้งบันทึกข้อมูลผู้เข้าพักทั้งไทยและต่างชาติในทันทีที่มีการเข้าพัก และต้องนำไปบันทึกลงในทะเบียนผู้พัก (ร.ร.4) ภายใน 24 ชั่วโมง รวมทั้งต้องส่งสำเนา ร.ร.4 ในแต่ละวันไปให้ นายทะเบียนฝ่ายปกครอง ทุกสัปดาห์ ขณะเดียวกันตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง กำหนดให้สถานที่ทุกประเภทที่ให้ที่พักอาศัยชาวต่างชาติต้องแจ้งข้อมูล (ตม.30) ให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ทราบภายใน 24 ชั่วโมงบทบัญญัติทั้งสองเป็นเหตุผลด้านความมั่นคง ผู้ประกอบการโรงแรมยินดีให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะบูรณาการ ลดความซ้ำซ้อน และ ลดขั้นตอน ช่วยผู้ประกอบการบ้าง เพราะในกรณีที่ชาวต่างชาติมาพักอาศัย โรงแรมต้องกรอกข้อมูล 2 ชุดคือ ร.ร.4 และ ตม.30 รายงานไปให้ทั้งฝ่ายปกครองและ สตม. ทั้งๆที่เป็นข้อมูลชุดเดียวกัน หน่วยงานรัฐน่าจะลิงก์ข้อมูลกันได้ หรือกำหนดให้ใช้แบบฟอร์มเดียวกันก็จะสะดวกขึ้นหนำซ้ำข้อมูลที่กรอกมีทั้งชื่อ สกุล วันเดือนปีเกิด อาชีพ สัญชาติ ที่อยู่ เบอร์โทร. เลขที่พาสปอร์ต วันที่ออกพาสปอร์ต วันที่หมดอายุ ผมว่ายุคนี้กรอกแค่เลขพาสปอร์ตก็พอ ตอนผ่านด่าน ตม.เข้าประเทศก็แจ้งข้อมูลไว้ให้แล้ว หรือกรณีของคนไทยกรอกแค่เลขบัตรประชาชน 13 หลักก็เช็กข้อมูลพื้นฐานได้เช่นกันถ้าปรับปรุงตรงนี้ไม่ได้ แล้วจะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้ไงเนี่ย.ลมกรด