ขณะที่มีการขยายทางหลวงหมายเลข 3 ถ.สุขุมวิท ช่วงระหว่าง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี กับ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ก็พลันให้เกิดกระแสปัญหาการเคลื่อนย้าย “ศาลเจ้าพ่อเขาแขก” หรือบ้างก็เรียก...“ศาลเจ้าพ่อเขาโค้ง” ตรง กม.7 ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ ออกจากที่ตั้งเดิมเพื่อขยายพื้นผิวจราจรจาก 2 ช่องทาง เป็น 4 ช่องทาง รองรับการขยายตัวเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก โครงข่ายเส้นทางคมนาคมเชื่อมจังหวัดชลบุรี...ระยอง...ฉะเชิงเทราแต่ข่าวกลับกลายเป็นว่า ไม่มีคนงานสร้างทางคนใดกล้าเสี่ยงย้ายศาลดังกล่าว ด้วยเกรงจะถูกมนตร์เจ้าพ่อประจำศาลเล่นงาน ด้วยรู้ดีถึงวิญญาณซึ่งสิงสถิตอยู่กับศาลนั้นมานานว่า “เฮี้ยน!” สุดๆ...จึงไม่มีใครกล้าอยากลองดี!แต่เมื่อการพัฒนาเป็นหัวใจนำพาประเทศไปสู่ความเจริญ เหนือความเชื่ออันเป็นนามธรรม ก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงได้ภายใต้พิธีกรรมเคลื่อนย้ายศาลไปยังสถานที่ที่เห็นว่าเหมาะสมเหมาะควรแล้ว วันเวลาผ่านไป...กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง...ผู้บริหารงานสร้างทางรวมถึงผู้เกี่ยวข้องในท้องถิ่น จึงนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธี “ถอนศาล” แล้ว “ย้ายศาล” ตามจารีตโบราณ พร้อมตั้งเครื่องเซ่นบูชามิให้ระคายดวงวิญญาณเจ้าพ่อประจำศาล...พลเรือตรีฤทธิยุทธ์ ไกรมะกล่ำทอง อดีตข้าราชการเกษียณสังกัดกองทัพเรือ ประจำ อ.สัตหีบ เล่าว่า ศาลเจ้าพ่อเขาโค้งเกิดจากภัยบุคคลผู้ประพฤติไม่สู้ดีกับสังคมสมัยนั้น“คือ...ไทยกำลังตกอยู่ภายใต้คำสั่งคณะปฏิวัติ ภายหลังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารเมื่อปี 2500 และปี 2514 สมัยจอมพลถนอม กิตติขจรนายแขก...หรือมีอีกชื่อว่าขวัญแก้ว นิสัยชอบเกเรเกตุง เคยทำงานสนามบินทหารอู่ตะเภาแล้วถูกไล่ออก มาก่อกรรมทำเข็ญปล้นฆ่าชิงทรัพย์นายทหารนักบินอเมริกันยศพันโท ที่มารบในสงครามเวียดนาม” จากนั้นไม่นาน...นายแขกก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ รัฐบาลจอมพลถนอมเห็นว่านายคนนี้มีพฤติกรรมเป็นภัยสังคมรุนแรง สมควรใช้ ม.17 ตามอำนาจคณะปฏิวัติยุคนั้นจัดการขั้นเด็ดขาด...คือยิงเป้า ปุ! ปุ! สถานเดียว!ม.17 ก็เหมือน ม.44 คสช.ที่ให้สิทธิ์ขาดท่านผู้นำ...และเพิ่งประกาศยกเลิกไปไม่นานมานี้ ครั้งนั้นนายแขกต้องโทษประหารยังบริเวณพื้นที่ก่อคดีโหดต่อหน้าประชาชนแบบไม่ให้ใครเอาไปเป็นเยี่ยงอย่าง โดยผู้ต้องหาไม่มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ฎีกาใดๆทั้งสิ้น!การใช้ ม.17 สมัยนั้นเป็นปฏิบัติการสายฟ้าแลบตาต่อตาฟันต่อฟัน เพื่อเตือนสติคนไม่ให้กล้ากระทำผิด มีตัวอย่าง...การลอบวางเพลิงเผาตลาดสำเพ็งช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน โดยเชื่อว่าเป็นการเผาล้างหนี้ผู้กระทำผิด...จึงถูกใช้ประกาศฉบับนี้ตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ปุ! ปุ! เช่นกัน อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นายตี๋กับนายสั้นก่อคดีข่มขืนแล้วฆ่าเด็กสาววัย 12 ปี ก่อนโยนศพลงคลอง พอถูกจับได้ก็ไม่พ้นถูก ม.17 ยิงเป้า ปุ! ปุ! ตรงเชิงเขาบางเสร่ให้ตายตกไปตามกันและ...ที่แหลมสน หาดสมิหลา อ.เมืองสงขลา ฆาตกรหื่นฆ่าแฟนหนุ่มขณะนั่งพลอดรักกับสาว แล้วข่มขืนก่อนลงมือฆ่าสาว ที่สุดก็ถูกพิษ ม.17 ปุ! ปุ! ที่แหลมสน ท่ามกลางสายตาประชาชนสำหรับกรณี “นายแขก” ได้ถูกนำตัวสู่ลานสังหารเชิงเขาแขก บันทึกไว้เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2514 ตรงเนินเขาโค้ง กม.7 ริม ถ.สุขุมวิท จุดเดียวกับที่เขาใช้อาวุธปืนฆ่าเหยื่อทหารนักบิน โดยใช้ผนังเขาเป็นกำแพงป้องกันกระสุนพลาดเป้าไปเจาะคนดูพลันก่อนวินาทีสังหาร “นายแขก” จะเกิดขึ้น ทหารจากกองทัพเรือได้นิมนต์พระมาแสดงธรรมให้ผู้ต้องหาสดับเป็นวาระสุดท้าย จนเมื่อธรรมบทนั้นจบลงนายแขกจึงก้มกราบพระเหมือนสำนึกบาปที่ก่อขึ้น พลางยื่นมือจับปลายจีวรพระมาปาดน้ำตาอย่างน่าเวทนา นาทีต่อจากนั้นจึงถูกนำตัวเข้าสู่หลักประหาร มีสารวัตรทหารเรือ 5 นายทำหน้าที่เพชฌฆาต ลั่นไกปลิดชีพจอมโจรผู้ก่อคดีอุกฉกรรจ์จนแน่นิ่งคาหลักประหารชดใช้ชีวิตตามกรรมชั่วมีศักดิ์ สวัสดิภูมิ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลพลูตาหลวง วัย 60 ปี เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้นอายุผมเพิ่งย่าง 16 ปี พอจำได้ว่าคดีนี้โด่งดังสะเทือนขวัญผู้คนมาก“...ยิ่งหลังการยิงเป้าใหม่ๆ มีคนในชุมชนกับคนเดินทางผ่านถนนสายนี้ตอนค่ำๆจะพูดเป็นเสียงเดียวกันตรงเห็นชายชุดขาวร่างสูงใหญ่ปรากฏให้เห็นตรงเชิงเขาที่เป็นลานสังหารอยู่บ่อยๆ”มีศักดิ์ บอกด้วยว่า มันเหมือนมีอาถรรพณ์บันดาลให้รถที่แล่นผ่านเนินสันโค้ง หลัก กม.7 ประสบอุบัติเหตุตายประจำทุกปี ไม่ชนกันก็พลิกคว่ำลงข้างทาง จนชาวพลูตาหลวงเชื่อว่า...น่าจะมาจากความเฮี้ยนของวิญญาณนายแขกมายืนคอยรอรับชีวิตคนเดินทางผ่าน “คนท้องถิ่นนี้เริ่มเข้าใจกับอุบัติภัยที่เกิดขึ้น แต่พิสูจน์ความจริงกันไม่ได้ กระนั้น...ยอมรับว่าวิญ-ญาณนายแขกน่าจะมีส่วนหนุนนำตามนิสัยโจร จึงสมควรสร้างศาลขึ้นมาเป็นสื่อสัญญาณการแผ่ส่วนบุญกุศลอโหสิกรรมให้ โดยไม่คิดจองเวรจองกรรมกันต่อไปอีก”หลังสร้างศาลเป็นศาลาเรือนไม้ 2 หลังเสร็จ ก็มีคนนำดอกไม้ธูปเทียนและสิ่งของสักการะมาไหว้บูชา ขอให้ช่วยคุ้มครองความปลอดภัยขณะเดินทางผ่าน รถราที่แล่นผ่านประจำส่วนใหญ่จะบีบแตรแสดงศรัทธา แล้วก็แคล้วคลาดปราศจากภยันตรายกันถ้วนทั่วบางคนลงทุนบนบานขอโชคลาภ เมื่อสมหวังก็จัดหนังกลางแปลงมาฉายเป็นการแก้บนไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ...“อุบัติเหตุ” ที่เคยเกิดก็ค่อยๆลดน้อยลงจนแทบไม่มีให้เห็น กลายเป็นความเชื่อไปอีกทางหนึ่งว่าวิญญาณนายแขกคงต้องการไถ่บาป เพื่อสร้างผลบุญทดแทนความชั่วร้ายที่ก่อขึ้นพุทธวจนที่ว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “คนบาป” สามารถกล่อมเกลากรรมชั่วให้ค่อยๆมลายหายไปกับกรรมดีที่มีให้กับสาธุชนบนโลกธรรม โดยคนเลื่อมใสย่อมให้อภัยกันได้ในชาตินี้...แม้จะอยู่ต่างภพแล้วก็ตาม...“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์” เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.รัก-ยม