ยี่สิบกว่าปีก่อน ทุกครั้งที่นักศึกษาเวียดนามในต่างประเทศเจอคนไทย ก็มักจะปรี่เข้ามาชื่นชม จำนวนหนึ่งก็จะเข้ามาสร้างความสัมพันธ์อันดี และมักจะลงท้ายด้วยการขอความช่วยเหลือให้ได้เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยพ่อพาผมและน้องๆเดินทางด้วยรถยนต์ไปเยือนเมืองต่างๆ ของเวียดนามหลายครั้ง ตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังเรียนอยู่ชั้นประถม และไปติดต่อเป็นระยะ ผมจึงเป็นคนหนึ่งซึ่งเห็นอดีตของเวียดนามตั้งแต่เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน พ่อมักจะพูดเสมอว่า เวียดนามจะเป็นประเทศที่จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจไว ต่อไปในอนาคตจะเป็นประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนที่หายใจรดต้นคอประเทศไทย สมัยก่อนตอนโน้น ไม่มีใครเชื่อว่าเวียดนามจะถีบตัวมาได้ไกลถึงขนาดนี้ ผมตามพ่อไปบรรยายที่ไหน ก็ยังได้เห็นหลายคนหัวเราะเยาะเย้ยเมื่อได้ยินการบรรยายว่าเวียดนามจะโตทันไทยในอนาคตจีดีพีของเวียดนามตั้งแต่ พ.ศ.2553 เป็นต้นมา โตขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี และตั้งแต่ พ.ศ.2560 โตเป็นร้อยละ 6.8 เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งซึ่งสร้างความมหัศจรรย์พันลึกทางเศรษฐกิจให้ปรากฏต่อชาวโลกได้สำเร็จ เวียดนามมีเขตการค้าเสรีแบบทวิภาคีมากถึง 55 ประเทศทั่วโลก สินค้าใดที่ผลิตในเวียดนามสามารถจะส่งไปขายในหลายประเทศได้โดยไม่มีภาษีและไม่มีโควตาสิ่งที่ทำให้เวียดนามกังวลใจก็คือปัญหากับจีนในทะเลจีนใต้ ขณะที่มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน ใช้หลักฐานทางภูมิศาสตร์ (ไหล่ทวีปเพื่ออ้างกรรมสิทธิ์และอธิปไตยเหนือโขดหินเฉพาะที่ตั้งอยู่บนไหล่ทวีปของตน) เวียดนามกลับใช้ทั้งหลักฐานทั้งทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ในการอ้างอธิปไตยในพื้นที่ในทะเลจีนใต้ จีนจึงซัดเวียดนามหนักกว่าประเทศอื่นตอนที่เวียดนามเหนือยึดเวียดนามใต้ได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 และรวมเวียดนามทั้งสองเข้าเป็นประเทศเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามส่งกำลังไปยึดโขดหินต่างๆอย่างต่อเนื่อง จนสามารถครอบครองโขดหินและเนินทรายได้มากถึง 24 แห่ง และการครอบครองโขดหินและเนินทรายทั้งหลายนี่แหละครับ ที่ทำให้เวียดนามมีปัญหากับจีนอย่างแรงสหรัฐฯเคยทำระยำตำบอนกับเวียดนามเอาไว้มาก แต่เพื่อหามหาอำนาจขนาดใหญ่ที่จะใช้คานอำนาจกับจีน เวียดนามจึงยอมสหรัฐฯ และสถาปนาความสัมพันธ์ขั้นลึกกับสหรัฐฯอยู่หลายเรื่อง เวลา 8 ปีที่โอบามาเป็นผู้นำ ความสัมพันธ์เวียดนาม-สหรัฐฯทำให้จีนเขม่น สหรัฐฯเองก็ส่งเสริมเวียดนามอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการค้าพาณิชย์ที่มีส่วนทำให้เวียดนามกลายเป็นแหล่งผลิตสินค้าสำคัญแห่งหนึ่งของโลกมูลค่าการค้าเวียดนาม-สหรัฐฯจึงเพิ่มทุกปี กระทั่ง พ.ศ.2561 เพิ่มไปจนเกือบจะ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือ 1.2 ล้านล้านบาท เฉพาะไตรมาสแรกของ พ.ศ. 2562 มูลค่าการส่งออกสินค้าเวียดนามไปสหรัฐฯกระโดดไปถึงร้อยละ 40 เมื่อเทียบเวลาช่วงเดียวกันของปีที่แล้วทว่าเหมือนฟ้าฟาดใส่เวียดนามอย่างแรง เมื่อไม่กี่วันก่อน ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่า นโยบายการค้าของเวียดนามทำร้ายสหรัฐฯ สหรัฐฯต้องการให้เวียดนามซื้อสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้นโดยเฉพาะพวกอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อลดส่วนต่างของการขาดดุลการค้า ถ้าเวียดนามไม่ทำตามที่ข้าพูด สหรัฐฯก็จะตั้งกำแพงภาษีสูงกับสินค้าเวียดนามรัฐบาลเวียดนามออกแถลงการณ์ทันทีว่า ข้ายึดกลไกการค้าที่เสรีและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่ค้าขายร่วมกัน ข้าพัฒนาความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนกับสหรัฐฯบนพื้นฐานของการค้าที่เสรีและยุติธรรมรัฐบาลเวียดนามบอกว่าจะเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวและจะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่ม เพื่อเพิ่มความสมดุลให้กับการค้าทวิภาคี เวียดนามแก้ตัวว่า มีสินค้าหลายอย่างที่ผลิตในประเทศอื่น แต่ดันติดป้ายว่าผลิตในเวียดนามเพื่อส่งไปขายในสหรัฐฯ ซึ่งต่อไปนี้ เวียดนามจะปราบปรามสินค้าที่ผลิตในประเทศอื่นแต่อ้างว่าผลิตในเวียดนามอย่างจริงจังทั้งที่คบกับรัสเซียมานาน แต่เวียดนามพึ่งรัสเซียเพื่อคานอำนาจจีนไม่ได้ เพราะรัสเซียกับจีนดันเป็นเพื่อนรักกัน เวียดนามจึงต้องพึ่งสหรัฐฯ สหรัฐฯก็ดันมีผู้นำบ้าๆ บอๆ อย่างทรัมป์ ที่อยากคบเวียดนามเพื่อใช้เวียดนามเล่นงานจีน แต่ดันเห็นแก่ตัว ที่ใช้ให้ทำงานด้วย และก็จะทุบด้วย.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com