เกือบกลายเป็นโศกนาฏกรรมกลางกรุง กรณีเครนก่อสร้างโรงแรมหักโค่นทำให้แผ่นเหล็กนั่งร้านหล่นใส่หลังคาโรงยิม โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ซอยเจริญกรุง 40 แขวงและเขตบางรัก กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้นักเรียนหญิงได้รับบาดเจ็บ 10 คน อาการหนักสุด 1 ราย เพราะโดนแผ่นเหล็กกระแทกศีรษะจนกะโหลกศีรษะร้าวหลังเกิดเหตุผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ไล่ตั้งแต่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ปลัด กทม. รอง ผอ.สำนักการโยธา รวมทั้ง ผอ.เขตบางรัก ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ โดยผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า อาคารที่เกิดเหตุเดิมเป็นอาคารคอนโดมิเนียม สูง 17 ชั้น เมื่อปี 2560 เจ้าของอาคารขออนุญาตสำนักการโยธา กทม. ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารโดยต่อมาสำนักงานเขตบางรัก และสำนักการโยธา ตรวจสอบพบว่าการดำเนินการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของการซ่อมแซมหรือปรับปรุงอาคาร แต่เป็นการดัดแปลงและต่อเติมอาคาร ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักการโยธา ทั้งนี้ทราบว่าจะมีการดัดแปลงต่อเติมเป็นโรงแรม สำนักงานเขตจึงระงับการก่อสร้างตั้งแต่ 1 เม.ย.2562ผู้ว่าฯ กทม.ระบุว่าหลังเกิดเหตุได้ประสานกับ สน.บางรัก ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกข้อหา ทั้งกรณีฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ใบอนุญาตไม่ถูกต้อง ที่สำคัญการขับเครนไม่ใช่ใครก็ได้ที่ขับเป็นแล้วขึ้นไปขับ เพราะต้องมีวิศวกรควบคุมงานกำกับและอยู่ควบคุมด้วยตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการก่อสร้างทั้งนี้ผู้ว่าฯ กทม.ได้ยืนยันกับผู้บริหารโรงเรียนว่าต่อไปนี้จะไม่มีการก่อสร้างอีก ถ้าพบว่ามีการลักลอบก่อสร้างให้แจ้งทาง กทม.หรือตำรวจได้ทันที ยืนยันจะดำเนินคดีกับผู้ลักลอบก่อสร้างให้ถึงที่สุดรวมถึงทางเขตด้วยเพราะเป็นความเดือดร้อนของสังคม รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องหาทางแก้ไขโดยเร็ว ขณะเดียวกันผู้ว่าฯ กทม.มีคำสั่งย้ายหัวหน้าฝ่ายโยธาเขตบางรัก ออกจากพื้นที่ไปประจำที่สำนักการจราจรและขนส่ง กทม. ฐานปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบก่อสร้างผิดกฎหมายจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกที่มีวัสดุตกใส่จนมีผู้ได้รับอันตราย พูดง่ายๆ ถือเป็นความผิดซ้ำซากเลยก็ว่าได้ความจริงเรื่องการก่อสร้างตึก อาคารบ้านเรือนในพื้นที่ กทม. มีปัญหาสร้างความระอาใจให้ประชาชนมาช้านาน ตั้งแต่การขออนุมัติแบบก่อสร้าง การตรวจสอบของฝ่ายโยธาที่ทำเป็นเข้มงวดหวังให้มีการเจรจา ต้นตอจึงไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย แต่มีผลประโยชน์แอบแฝง ถ้าไม่จัดการเด็ดขาดจริงจัง คงไม่มีทางแก้ได้.