ผมเพิ่งรู้ “บทดอกสร้อย” ตั้งไข่ล้ม ต้มไข่กิน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแต่ง เมื่อปี 2431 แม้ท่องได้ แต่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายถี่ถ้วนตั้งเอ๋ย ตั้งไข่ จะตั้งไยไข่กลมก็ล้มสิ้น ถึงว่าไข่ล้มจะต้มกิน ถ้าตกดินเสียก็อดหมดฝีมือ ตั้งใจเรานี้จะดีกว่า อุตส่าห์อ่านเขียนเรียนหนังสือ ทั้งวิชาสารพัดเพียรหัดปรือ อย่างดึงดื้อตั้งไข่ร่ำไรเอย2 บาทที่ว่า ถึงว่าไข่ล้มจะต้มกิน ถ้าตกดินเสียก็อดหมดฝีมือ พยายามทำความเข้าใจว่า แม้การเล่นตั้งไข่ จะไม่เป็นผล คือ ตั้งไข่ไม่ได้ แต่ยังต้มกินได้ ระวังอย่าให้ไข่ตกดินก็แล้วกัน เพราะ เป็นการเสียทั้งของ (ไข่) เสียทั้งฝีมือบทดอกสร้อยบทนี้ ผู้ใหญ่ตั้งใจสอนเด็ก เอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่า อย่าพยายามทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ตัวอย่าง การเอา ส.ส.ร้อยพ่อพันแม่จากหลายๆพรรคมาร่วมตั้งรัฐบาล จะมั่นใจว่า ส.ส. ทุกคน จะอยู่ในแถวในแนว เหมือนหัดทหาร ทุกปาก ปากหัวหน้า พรรค ปาก ส.ส. กระทั่งปากผู้นำ พูดประโยคเดียวกันเพื่อแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน แต่เอาเข้าจริง ประชาชนมีความต้องการต่างๆกันข้อเรียกร้อง ความต้องการ จึงเพิ่มเติมได้ทุกเวลาไหนๆ ผมก็ลากเอาบทดอกสร้อยสอนเด็ก มาเกี่ยวกับการเมืองของผู้ใหญ่แล้ว ก็ขอเกี่ยวต่อไป เปิดหนังสือ “เจินกวน เจิ้งเย่า”ยอดกุศโลบายจีน(อู๋จิง เขียน อธิคม สวัสดิญาณ แปล สำนักพิมพ์เต๋าประยุกต์ พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ.2552)นี่คือหนังสือ สอนผู้ใหญ่ระดับท่านผู้นำ เขียนในสมัยราชวงศ์ถังกว่า 1,200 ปีที่แล้ว ลองอ่านเจินกวนศก 5 (ค.ศ.631 ถางไท่จงฮ่องเต้ ตรัสแก่เหล่าเสนาอำมาตย์ว่า เหตุผลการปกครองกับการพักฟื้นนั้นเหมือนกัน คนไข้เมื่อรู้สึกว่าอาการขึ้น จะต้องระมัดระวังพักฟื้นให้ดีหากปล่อยให้โรคกำเริบขึ้นมาอีก ก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตการปกครองประเทศก็เช่นกัน แผ่นดินเพิ่งสงบสันติ ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากหลงระเริง ยโสทะนงตนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย หมกมุ่นสุรานารี ก็จะเป็นเหตุนำไปสู่ความปราชัยล่มสลายบัดนี้ ความร่มเย็นหรือความวิบัติของบ้านเมือง ล้วนขึ้นกับข้าหูตาแขนขาของข้าล้วนขึ้นกับท่านทั้งหลาย ในเมื่อคุณธรรมแห่งเจ้ากับข้าผูกพันเราเป็นหนึ่งเดียว จึงควรร่วมแรงร่วมใจประสานงานกันหากพบสิ่งใดไม่ถูกต้องเหมาะสม จะต้องเสนอความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังอำพราง ไม่ผูกใจเจ็บแค้น หากจักรพรรดิกับขุนนางหวาดระแวงกัน ไม่อาจพึ่งพาอาศัยกันแล้วก็จะเป็นภัยร้ายแรงกับชาติบ้านเมืองแผ่นดินถางไท่จงฮ่องเต้...ถูกเรียกแผ่นดินทอง เพราะมีเสนาบดีฝ่ายค้าน...ที่ซื่อตรงเข้มแข็ง ชื่อเว่ยเจิง ฟังพระราชปรารภนี้แล้ว ทันทีนั้นเขากราบทูลสนองหากฝ่าพระบาทใส่พระทัยวิถีแห่งการปกครอง บริหารราชการแผ่นดินด้วยความระมัดระวัง ดุจประทับริมหน้าผา หรือเสด็จพระราชดำเนินบนแผ่นน้ำแข็งบาง แล้วไซร้แผ่นดินก็จะสงบสุขสถาพรโบราณว่า “จักรพรรดิคือเรือ ราษฎรคือน้ำ น้ำลอยเรือได้ ก็จมเรือได้” ฝ่าพระบาททรงเห็นว่าราษฎรน่ากลัว ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้นหนังสือ “เจินกวน เจิ้งเย่า” ญี่ปุ่นสมัยซามูไร เอาไปใช้ในชื่อ “ราชันย์วิทยา” ท่านนายกฯประยุทธ์ ถ้าใช้วิชา บริหารแผ่นดินเหมือนเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางเป็น...จะอยู่ต่ออีกห้าปี หรือสิบปี ก็อยู่ไป...ไม่ว่ากัน.กิเลน ประลองเชิง