สมัย 2 แล้วก็ยังอดเขิน ประหม่า ไม่ได้อยู่ดีตามอาการของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่โดนนักข่าวลอบสังเกตอากัปกิริยา ก่อนพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 สมัย 2 ที่จัดขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาลโดยผลงานสร้างสรรค์ของทีม “อีเวนต์” ฝ่าย เสธ.ตึกไทย “บี กปปส.” และสื่อขาใหญ่ ต่อสายเรียกหัวหน้าและแกนนำ 18 พรรคร่วมรัฐบาล ยืนประกอบฉากยิ่งใหญ่เป็นไม้ประดับ “นายกฯลุงตู่ ภาค 2” ดูแน่นปึ้กแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าเพิ่งทึกทัก “ตีขลุม” ว่าโควตา ครม.ปิดกล่องเรียบร้อย ตามร่องรอยที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย แบะท่าแล้ว “นายกฯลุงตู่” และ ครม.ชุดเดิมยังต้องทำหน้าที่เป็นประธานจัดประชุมอาเซียนในวันที่ 22-23 มิถุนายนไปก่อน นั่นหมายถึง ครม.ชุดใหม่ยังคลอดไม่ทันล้อตามเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่ “อุลตร้าอุตตม” นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุการเจรจาจัดโผ ครม.ลงตัวแค่บางส่วน ยังต้องคุยกันอีกยก ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พูดชัด โควตากระทรวงเศรษฐกิจสำคัญจำเป็นต้องอยู่กับพรรคพลังประชารัฐขณะที่ประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย แผ่นเสียงตกร่อง “ยึดดีลเดิม”กอดเก้าอี้หุ้มทองฝังเพชรแน่น ไม่ยอมคายอ้อยออกจากปากช้างตามรูปการณ์ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ชูธงตามหลักการ “ชงลูก” ให้เป็นหน้าที่ของ “นายกฯลุงตู่” ในการเลือกคนดีที่สุดมาทำงานให้บ้านเมืองโควตารัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือพรรคการเมืองโดยเงื่อนไขไฟต์บังคับ “ลุงตู่” หนีไม่พ้นแบกภาระในฐานะหัวหน้าทีมบริหารผู้รับผิดและรับชอบ ครม. แบกความคาดหวังของประชาชนคนไทยที่อยากเห็นการเมืองยุคปฏิรูปจะหวังได้แค่ไหน ในอารมณ์แบบที่ส่อเค้าขอแค่ “ตีตั๋วต่อ” ก็ทิ้งทุกอย่างหมดแกะรอยตามฟอร์มแปร่งๆ แบบที่ผู้มีอำนาจสายท็อปบูตปล่อย “ล็อบบี้ยิสต์ขาใหญ่” ในพลังประชารัฐ ประสานเสียงโทนเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยดีลจบแล้ว ตามคำพูดของผู้ใหญ่ได้ตกลงกันไม่มีการเปลี่ยนแปลงนัยว่า ยึดสัจจะชายชาติทหารคำไหนคำนั้น ตามสถานการณ์ได้สมใจ “3 ป.” แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ เบิ้ลเก้าอี้นายกฯ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปต่อบนเก้าอี้รองนายกฯและ รมว.กลาโหม “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ล็อกคิวยาวเก้าอี้ รมว.มหาดไทยสไตล์ทหารกับ “กรอบเหลี่ยม” ในค่ายทหาร แต่นี่มันสถานการณ์จับขั้วรัฐบาลเลือกตั้งในดงนักการเมือง “ลิ้น” ไม่มีเอ็นตัวอย่างตรงหน้าชัดๆทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ ไล่ตั้งแต่ปรมาจารย์ชวน หลีกภัย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช รวมถึงคนประชาธิปัตย์ครึ่งพรรคไม่เคยหนุน พล.อ.ประยุทธ์ พูดชัดๆถึงขั้นต่อต้านสืบทอดอำนาจรวมทั้งบทบาทของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่พลิ้วไปพลิ้วมา ทั้งๆที่ทางลึกวงในรู้กันทั่วดีลอยู่กับ 3 ป. แต่พอเผลอก็ด่าทหาร คสช. หันไปแอบอิงกับนายใหญ่ทีมดูไบกระตุกต่อมหมั่นไส้ “นายกฯลุงตู่” เขม่นหูเขม่นตาตลอดแต่สุดท้ายทั้งภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ก็ “พลิกลิ้น” แบบ 180 องศา จับขั้วรัฐบาลพลังประชารัฐ ด้วยเหตุผลหรูๆตามสคริปต์ เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้า ยึดประโยชน์ประชาชนแน่นอน ว่ากันตามเหลี่ยมลีลา เหตุผลของคนยี่ห้อภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ ยึดประโยชน์ประเทศและประชาชน วัด “ความจำเป็น” กับสถานการณ์หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับลำเพื่อชาติในการเปลี่ยนดีลเดิมที่ผู้มีอำนาจเผลอเสีย “ค่าโง่” แอบไปตกลงลับหลังกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ยกกระทรวงเศรษฐกิจเกรดเอให้พรรคร่วมหมด เพื่อแลกกับตั๋วสืบทอดอำนาจขณะที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ความจำเป็นที่กัปตันทีมเศรษฐกิจอย่างนายสมคิด ต้องมีเครื่องมือ คุมกระทรวงสำคัญอย่างคลัง คมนาคม พาณิชย์ อุตสาหกรรม ในการเดินเนื้องานต่อเนื่องจากที่รัฐบาล “ลุงตู่” ภาคแรก ที่ได้ปักหมุดลงเสาเข็มสารพัดเมกะโปรเจกต์ ทั้งโครงการอีอีซี รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟความเร็วสูงเส้นทางไทย-จีน การขยายท่าเรือน้ำลึก ศูนย์กลางเมืองการบินอู่ตะเภา ฯลฯงานคืบไปกว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์ รองรับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตถ้าเอากระทรวงคมนาคมประเคนให้ภูมิใจไทย งานสะดุดแน่นอนเช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องดีลข้อตกลงการค้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ องค์กรระดับโลก สนธิสัญญานานาชาติ ตามยุทธศาสตร์ต่อเนื่องจากรัฐบาล “ลุงตู่ ภาค 1”ถ้าเปลี่ยนไปอยู่ในมือประชาธิปัตย์ ต้องติดๆขัดๆเริ่มตั้งต้นใหม่เหตุผลความจำเป็นเบื้องต้นแค่นี้ มันเกินพอรองรับความชอบธรรมในการล้มดีลผู้มีอำนาจถ้ายังคิดไม่ได้ ช่วงรอเปลี่ยนจากนายกฯอำนาจพิเศษไปสู่นายกฯจากเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปนั่งเรียนหลักสูตร “อนุบาลทางการเมือง” เริ่มจากแบบฝึกหัดขั้นต้นก่อนอื่นใดท่องให้ขึ้นใจ การเมือง “1 บวก 1 ไม่เท่ากับ 2” เสมอไป.ทีมข่าวการเมือง