นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 สมัยที่ 2สถานะล่าสุดของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ภายหลังที่ประชุมร่วมรัฐสภา ลงมติด้วยคะแนน 500 เสียงต่อ 244 เสียงโหวตให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี“ตีตั๋วต่อ” รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ตามกติการัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติโดยกระบวนการที่เป็นไปอย่างเปิดเผย ขานชื่อ โชว์หน้า โชว์ตัว โหวตกันออกอากาศให้ผู้คนรับรู้กันทั้งประเทศ ใครหนุนใคร และคะแนนเสียงที่ออกมาก็เป็นไปตามเนื้อผ้าไม่ผิดจากจำนวน ส.ส.ต้นทุนของ 2 ขั้วที่ตรึงกำลังกันไว้ได้แน่นไม่มี “งูเห่า” เลื้อยเพ่นพ่าน อย่างที่ออกมาแถลงข่าวดักคอดักทางกันอึกทึกครึกโครมจะมีที่ฮือฮาก็คิวของนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย ที่แหกโผงดออกเสียง ไม่โหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯตามมติพรรคหักมุมแบบที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย “สะอึก”ซึ่งนั่นก็อาจส่งผลต่อดีลโควตารัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่มีผลแต่อย่างใดกับเสียงโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทิ้งห่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แบบครึ่งต่อครึ่งถึงตรงนี้ดุลอำนาจอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์เต็มๆทั้งในสถานะของนายกฯอำนาจพิเศษ และว่าที่นายกฯจากการเลือกตั้งจังหวะรอเปลี่ยนผ่าน หลังการโปรดเกล้าฯนายกรัฐมนตรี และตามธรรมเนียมการเมืองก็จะดำเนินการต่อเนื่องไปกับขั้นตอนการฟอร์มรัฐบาล และการเจรจาแบ่งงาน จัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลตั้งแท่น เจรจาบนโต๊ะกันอย่างเป็นทางการเนื่องจากปรากฏการณ์ที่แตกต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านๆมา ตามรัฐธรรมนูญใหม่กว่าจะลงมติเลือกนายกฯได้ก็หลังเลือกตั้งผ่านไปกว่า 2 เดือนท่ามกลางเกมขึงพืดชิงเสียงตั้งรัฐบาล สถานการณ์ไร้ความชัดเจน แม้โดยเงื่อนกติการัฐธรรมนูญจะเอื้อให้ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ เพราะมีเสียง 250 ส.ว.เป็นต้นทุนหน้าตัก แต่ในส่วนของการรวมเสียง ส.ส.จับขั้วรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐก็ไม่สามารถปิดดีลได้ ตามสภาพที่ไม่รู้ใครคือคนมีอำนาจแท้จริงในการเจรจา“ทีมหนุนลุงตู่” เป็นภาพเชิงซ้อนระหว่างท็อปบูตกับนักการเมืองแต่จุดไฮไลต์ก็เป็นอาการขยับของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่นัดกินข้าวกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนประกาศเดินหมาก “จับมือมัดข้าวต้ม”ล็อก 104 เสียง แลกกับโควตาพรรคประชาธิปัตย์ ได้รัฐมนตรีว่าการ 3 กระทรวง คือ พาณิชย์ เกษตรฯ การพัฒนาสังคม บวก รมช.มหาดไทย รมช.คมนาคม รมช.ศึกษาธิการ พ่วงรองนายกฯ ส่วนพรรคภูมิใจไทย ฟัน 3 รมว.คือ สาธารณสุข การท่องเที่ยวฯ คมนาคม บวก รมช.มหาดไทย รมช.เกษตรฯ บวกรองนายกฯยึดเก้าอี้หุ้มทองฝังเพชร กวาดกระทรวงเกรดเอทั้งๆที่ถือแต้มในมือแค่ 50 กว่าเสียง ต่อเนื่องกับกระแสข่าวแกนนำพรรคตัวแปร ดอดเข้าบ้านพักในค่ายทหารของ “ผู้มีอำนาจ” นอกพรรคพลังประชารัฐ ปิดดีลจับขั้วร่วมรัฐบาลนำมาซึ่งคิวป่วนในพลังประชารัฐ เสียงเพี้ยนๆในการโหวตเลือกประธานสภาฯก่อนที่เกมจะหักมุม เมื่อนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นำทีมแกนนำพรรคที่พรรษาการเมืองสูง ทั้งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ไปส่งเทียบเชิญพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ถึงที่ทำการพรรค ยืนยันยังไม่พูดเรื่องโควตารัฐมนตรี เพราะต้องนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคกั๊กเหลี่ยมดึงเช็งมาว่ากันหลังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่สำคัญส่งสัญญาณเป็นนัยเลยว่า ฝ่ายการเมืองของพลังประชารัฐไม่ยึดถือข้อตกลงของ “ผู้มีอำนาจนอกพรรค” ที่ไปแอบตกลงกันที่บ้านพักในค่ายทหารเพราะเสี่ยงเข้าเงี่ยงกฎหมาย ฐานปล่อยให้คนนอกครอบงำกิจกรรมภายในพรรคผิดรัฐธรรมนูญ โทษถึงขั้นยุบพรรคอีกทั้งโดยหลักการสำคัญตามธรรมเนียมปฏิบัติและวิถีธรรมชาติทางการเมือง ถ้าพรรคแกนนำรัฐบาลไม่เหลือกระทรวงเกรดเอไว้ในโควตาบริหาร จะเอาอะไรไปสร้างเนื้องานตามที่สัญญาไว้กับประชาชน และนั่นก็จะไม่มีอะไรไปหาเสียงในการเลือกตั้งรอบหน้า“พลังประชารัฐ” ก็แค่พรรคเฉพาะกิจ ดัน “ลุงตู่” สืบทอดอำนาจแล้วจบ มันจึงเป็นอะไรที่ยึดความถูกต้องตามหลักการ ทั้งในแง่ของเงื่อนบังคับรัฐธรรมนูญและในมุมการบริหารทาง การเมือง กับเกมเขี้ยวของพรรคพลังประชารัฐดึงดีลเจรจาโควตารัฐมนตรีเข้าวงที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพรรคเล่นเอง ไม่ปล่อย “ขาใหญ่” นอกพรรคแทรกแซงเหนืออื่นใด ในขั้นตอนสุดท้ายจะต้องส่งบัญชีรายชื่อรัฐมนตรีทั้งหมดให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ตามที่เจ้าตัวประกาศไว้แล้วว่าจะเป็นคนตรวจสอบ พิจารณาความเหมาะสมด้วยตัวเองกรองกันหลายชั้น “เซ็นเซอร์” ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจรับผิดชอบสูงสุดในฝ่ายบริหาร ประกอบกับสถานการณ์การเมืองห้วงเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สังคมคาดหวังรัฐบาลที่เน้นผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง มากกว่าการเมืองน้ำเน่าแบบเก่าๆที่เอาเสียงประชาชนมาต่อรองผลประโยชน์ตามรูปการณ์ “ลุงตู่” ต้องเข้ม เฟ้นรัฐมนตรีให้ออกมาหน้าตาดีที่สุดเพื่อรักษาเครดิตต้นทุนความโปร่งใสที่สั่งสมมา 4-5 ปีในรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะการการันตีจากปาก“ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บอก “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่โกง”ว่ากันตรงๆ “ลุงตู่” ก็ต้องหวังเดินตามรอยรัฐบุรุษอย่าง “ป๋าเปรม”แต่แน่นอน ในมุมความจำเป็นของ “นายกฯลุงตู่” กับทีมพลังประชารัฐ ที่ต้องดึงดุลอำนาจของนายกฯและสถานะของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลกลับมา ซึ่งนั่นก็ตรงกันข้าม กับอาการของพรรคร่วมที่ต้องโดนง้างอ้อยออกจากปากช้าง ลีลาของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยประสานเสียงยึด “ดีลเดิม” ตามที่ดอดเข้าบ้านใหญ่ในค่ายทหาร แต่ไม่ยอมบอกว่าดีลเดิม ไปแอบพูดคุยตกลงกับใครนั่นก็เพราะรู้อยู่แก่ใจเหมือนกันว่า ดีล “ผู้มีอำนาจ” นอกพรรคพลังประชารัฐขัดรัฐธรรมนูญยิ่งเป็นอะไรที่ฝ่ายประชาธิปัตย์แถลงหนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เพราะโดนสถานการณ์แตกแยกภายในบีบคั้น เมื่อปีกของนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค นายถาวร เสนเนียม และนายกรณ์ จาติกวณิช ประกาศหนุน “ลุงตู่” ตั้งแต่พรรคยังไม่ประชุมลงมติอย่างเป็นทางการประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลแบบไร้พลังต่อรอง เกม “ฮั้ว” กับภูมิใจไทยก็พังโดยอัตโนมัติ ประกอบกับท่าทีแข็งๆของพลังประชารัฐก็ไม่สนเกมขู่ของพรรคตัวแปร เพราะไพ่เด็ดใบสุดท้ายมันอยู่ในมือ “นายกฯลุงตู่”ถ้าพรรคร่วมเกเร ต่อรองเกินราคา ก็ “ยุบสภา” ไปวัดดวงกันพรรคไหนจะเหนื่อยหนักสุดก็เห็นๆกันอยู่เอาเป็นว่า ณ วันนี้ ดุลอำนาจอยู่ในมือของ “นายกฯลุงตู่” กำหนดเกมเล่นได้เรื่องของเรื่อง ย้อนกลับดูอดีตรัฐบาล “ป๋าเปรม” รักษา สมดุลรัฐบาลได้ 8 ปีกว่าๆ แม้ในภาวะเสียงปริ่มน้ำ ก็เพราะ “ป๋าเปรม” ตั้งรัฐบาลเป็นที่ศรัทธาของสังคม เลือกใช้คนดี มีประสิทธิภาพถูกกับงาน เป็นรัฐมนตรีที่สำคัญคือภาพความโปร่งใส ปลอดจากคอร์รัปชันวันนี้ “นายกฯลุงตู่” เดินตามรอย “ป๋าเปรม” มากว่าครึ่งทางแล้ว แนวโน้มมีโอกาสใกล้ถึงปลายทางนี่คือที่มาของความมั่นใจ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศจัดทีม ครม.เองตามรูปการณ์ทั้งประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยก็คงเฮี้ยวพอเป็นพิธี เพราะมีกระแสสังคมกดดันอยู่ คำพูดหรูๆเพื่อประชาชนกับพฤติการณ์ต่อรองเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง มันเห็นได้ด้วยตาเปล่าแถมจุดได้เปรียบของรัฐบาล “ลุงตู่ภาค 2” คือความต่อเนื่องของการบริหาร สิ่งที่รัฐบาล “ลุงตู่” กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ เข็นครกขึ้นภูเขา ลากเศรษฐกิจจากติดลบเพราะวิกฤติไฟขัดแย้งการเมือง ฟื้นกลับมาติดลมบน จีดีพีทะยานไปร้อยละ 4 ก่อนจะวูบไปเพราะการเมืองมั่วๆหลังเลือกตั้งแต่หุ้นก็เด้งกลับมาเป็นบวกทันทีเมื่อรู้ผลโหวตนายกฯไหนจะปรากฏการณ์ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของประเทศจากที่การันตีโดย IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2562 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 25 ของประเทศทั่วโลกพื้นฐานไทยแข็งแกร่ง สัญญาณบวกในเชิงพัฒนาการเศรษฐกิจระยะยาวเอาเป็นว่า ถ้ารัฐบาล “ประยุทธ์ภาค 2” ออกมาหล่อๆ ตามเงื่อนไขที่ “ลุงตู่” ทำตามหลักบริหารของผู้รับผิดชอบสูงสุด ขณะที่พรรคพลังประชารัฐดำเนินการตามกรอบรัฐธรรมนูญไม่ให้คนนอกยุ่มย่ามจัดโผรัฐมนตรียึดประโยชน์ชาติบ้านเมืองมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัวพวกพ้องเสียง 254 ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาล เสียง 250 ส.ว. ก็ไม่สำคัญ เพราะตัวชี้วัดเสถียรภาพแท้จริงของรัฐบาล “ลุงตู่” สมัย 2 มันอยู่ที่ 70 ล้านเสียงของคนไทยเดินตามรอยรัฐบาล “ป๋าเปรม” แล้ว “นายกฯลุงตู่” จะปลอดภัยไม่ว่าจะหนทางรัฐบาลระยะสั้นหรือเส้นทางรัฐบาลยาวๆ."ทีมการเมือง"