คดีของวัชรชัย สมีรักษ์ ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี กับพวกอีก 10 คน ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ “ชุดพญาเสือ” ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ รวบตัวได้พร้อมอุ้งตีนหมี และหลักฐานต่างๆ เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ปีที่แล้ว ยังคงเป็นที่วิพากษ์ของสังคม พอๆกับคดีเสือดำอันฉาวโฉ่แม้ปลัดอำเภอรายนี้ จะถูกผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน จนกว่าคดีหรือผลการสอบสวนจะแล้วเสร็จแต่ดูเหมือนความเชื่อเกี่ยวกับการล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง เพื่อนำมาปรุงเป็นอาหารบำรุงสมรรถภาพทางเพศของคนบางกลุ่ม ยังคงมีอยู่อย่างไม่ลดละจากการศึกษาประชากร และความหลากหลายของหมีควาย และหมีหมาที่ป่าดงพญาเย็น เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เมื่อปี 2557 โดยคณะนักวิจัยกลุ่มหนึ่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีทำให้รู้ว่าที่ป่าเขาใหญ่มี หมีควาย หลงเหลืออยู่แค่ไม่เกิน 300 ตัวหมีหมา ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ เหลืออยู่แค่ไม่เกิน 100 ตัว ส่วน “หมีขอ” สัตว์ป่าเคราะห์ร้ายซึ่งตกเป็นเป้าสังหารของ “คณะออฟโรดแก๊งคุณปลัด” ที่ป่าไทรโยค กาญจนบุรี แม้ยังไม่เคยมีใครไปสำรวจและรายงานจำนวนประชากรของพวกมันมาก่อน แต่ก็ประมาณกันว่า น่าจะเป็นหมีอีกประเภทที่หลงเหลืออยู่ในป่าธรรมชาติเมืองไทยราวๆ หลักร้อยตัวเช่นกัน“หมีขอ” เป็นสัตว์ป่าในตระกูลชะมด หรืออีเห็น มีหน้าตาและลักษณะคล้ายกับหมีทั่วไป มีเส้นขนสีดำ ยาว หยาบ และหนา รูปร่างอุ้ยอ้าย น่ารัก แถมยังมีหางยาว เพื่อเอาไว้เกาะจับกิ่งไม้หรือต้นไม้แทนมือ ปัจจุบันถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภท 2 ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535จากหลักฐานของกลาง ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ “ชุดพญาเสือ” ของกรมอุทยานแห่งชาติฯที่จับกุมปลัดวัชรชัยและพวก ได้นำมาแถลงข่าว คือ ซากชิ้นส่วนท่อนขา ติดกับอุ้งเท้าของ “หมีขอ” จำนวน 4 ท่อน บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก มัดปากถุงมิดชิดแช่น้ำแข็งไว้ในถังหลังรถเข้าตามตำราเมนูเปิบพิสดารยอดนิยม...“อุ้งตีนหมี” “ซุปหางเสือ” และ “จู๋เสือตุ๋น”...เป๊ะ!!!ที่มาของความเชื่อดังว่า น่าจะมีต้นตอมาจากชาวจีนและเกาหลี ที่มักเชื่อกันอย่างสนิทใจฝังแน่นว่า การได้บริโภคชิ้นส่วนเหล่านี้ของสัตว์ป่าจำพวก หมี เสือ และ ช้าง ที่ล้วนเป็นสัตว์ป่าทรงพละกำลัง คิดว่าคงจะมีส่วนช่วยให้สมรรถภาพทางเพศของพวกเขา ตื่นจากอาการหลับใหล หรือเด้งขึ้นมาดึ๋งดั๋งได้ดังใจปอง แต่เอาเข้าจริง...มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ!!! เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ เรามาค้นหาความจริงกันกับแหล่งข่าวผู้หนึ่ง ซึ่งเคยเป็นอดีตพรานผู้ช่ำชองกันดีกว่า...“หมีขอไม่มีใครเค้ากินอุ้งตีนมันหรอก ถ้าจะกินอุ้งตีน ต้องเป็นอุ้งตีนของหมีควายเท่านั้น เพราะมีความเชื่อกันว่า ตรงส่วนที่เป็นเอ็น ไขข้อ และตรงอุ้งตีนของหมีควาย เมื่อนำไปตุ๋นหรือเข้ากับเครื่องยาจีนแล้ว น่าจะมีส่วนช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ แต่อุ้งตีนของหมีขอไม่ได้อยู่ในข่ายนี้”แหล่งข่าวบอกว่า ความโดดเด่นของหมีขอ อยู่ตรงส่วนที่เป็น เนื้อ และ หนัง ของมัน“เนื้อของหมีขอจะออกกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับกลิ่นของใบเนียม หรือหอมสักราวๆ 20 เปอร์เซ็นต์ของกลิ่นใบเตย พวกที่ชอบกินอาหารป่า จึงมักนำเอาเนื้อของมันมาทำแกงเผ็ด ผัดเผ็ด หรือย่างกิน ตรงที่เป็นหนังของมันจะกรอบ และมีรสชาติอร่อยกว่าหนังของหมูป่า”อดีตพรานผู้ช่ำชองรายนี้บอกว่า โดยทั่วไป “หมีขอ” มักจะตัวไม่ใหญ่ โดยมากมีน้ำหนักตัวละแค่ 9-10 กก. เขาเคยเจอใหญ่สุดเต็มที่ ตัวละประมาณ 20 กก. เท่านั้นในอดีตเจ้าหมีน้อยน่ารักนี้ เคยมีอยู่ชุกชุมทางป่าแถบชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น แถว อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และป่าทางแถบ อ.ทองผาภูมิ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ส่วนป่าชายแดนด้านติดกับฝั่งลาว อดีตพรานผู้นี้บอกว่า ไม่ค่อยเห็นมีการนำมาวางขายเทียบกับหมีควาย แหล่งข่าวบอกว่า โดยมากมักจะพบในป่าดิบชื้น ทางแถบ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะแถว จ.ยะลา“เนื้อของหมีขอ ในตลาดอาหารป่า ตามตะเข็บชายแดน หรือตลาดมืด กิโลละแค่ 400-500 บาท ถ้าตัวหนึ่งหนัก 10 กิโลก็แค่ 4,000-5,000 บาท ตรงอุ้งตีนของมัน ไม่ค่อยมีใครนิยมกินกัน ไม่เหมือนอุ้งตีนของหมีควาย ถ้าได้มาครบทั้ง 4 ข้าง ไม่รวมเขี้ยว หนัง และดี ราคาประมาณ 200,000 บาท”“เนื้อหมีควายส่วนใหญ่ ไม่นิยมกินกัน เพราะเหม็นสาบมาก จึงไม่มีราคา มีราคาแค่ตรงอุ้งตีน เขี้ยว ดี และหนังของมันเท่านั้น ตรงอุ้งตีนจะเป็นคล้ายเอ็นแข็งๆและเหนียวมาก จึงนิยมนำไปตุ๋นกับยาจีน ส่วนกินแล้วจะช่วยโด๊ปจริงหรือไม่แค่ไหน บอกตามตรงนะ ผมลองมาแล้วก็งั้นๆ...มันไม่ชัดเจน”อดีตพรานป่ารายนี้บอกว่า มีอยู่ 2-3 ปัจจัยที่จะทำให้หมีตกเป็นเป้าการสังหารของนักล่ากรณีแรก ถูกกลุ่มคนที่แอบตั้งใจลักลอบเข้าไปล่า แบบเดียวกับกรณีของนายเปรมชัยและพวกเข้าไปล่าเสือดำที่ทุ่งใหญ่นเรศวร และกรณีของปลัดวัชรชัยกับพวกที่ลักลอบเข้าไปล่าหมีขอในป่าไทรโยค“นักล่าเหล่านี้ต้องการเอาเนื้อ อุ้งตีน หนัง ดี และเขี้ยวของหมี ไปกินเอง หรือไม่ก็นำไปขายให้กับกลุ่มที่นิยมบริโภคอีกที ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ทั้งดีและอุ้งตีนของหมี กินแล้วช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ” กรณีถัดมา อาจเกิดจากการที่หมีหรือช้าง เดินหลุดออกมาหากินนอกพื้นที่ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งโดยบังเอิญ หรือตั้งใจบุกรุกเข้าไปกินพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้าน ที่ปลูกไว้ใกล้กับชายป่า เพราะแหล่งน้ำและแหล่งอาหารในป่ามีไม่เพียงพอ ทำให้ชาวบ้านโกรธแล้วใช้อาวุธปืนยิงหมีหรือช้างป่าเหล่านั้นอีกกรณี มักจะเป็นหมีแม่ลูกอ่อนที่ชอบออกจากป่าในช่วงที่ข้าวโพดกำลังออกฝัก พาลูกหมีมากินข้าวโพด แล้วก็กลับเข้าป่าไป ถ้าเจอเจ้าของไร่ข้าวโพดเลือดร้อนก็อาจโดนยิงร่วงได้แต่ทุกวันนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯเข้าไปทำแนวรั้วกั้นสัตว์ป่าไม่ให้บุกเข้าไปทำลายพืชผลการเกษตรของชาวบ้าน และทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เมื่อมีสัตว์ป่าบุกเข้าไปกินพืชผลที่ปลูกไว้ ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะให้ความร่วมมือ โดยแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาจัดการแหล่งข่าวบอกว่า เป็นที่น่าสังเกต ผู้ที่ชอบกินของแปลกอย่างอุ้งตีนหมี หางเสือ หรือไอ้จู๋เสือ นอกจากเชื่อว่ากินแล้วจะช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ คนเหล่านั้นมักจะเป็นผู้ที่มีเงินเหลือใช้“บางคนมีเงินเป็นหมื่นล้านบาท หรือมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต การที่คนเหล่านี้จะซื้ออุ้งตีนหมีราคา 2 แสนบาท หรือไอ้จู๋เสือตากแห้ง กิโลละ 5 แสนบาท มาตุ๋นกินกับยาจีน ผสมโสม กับถั่งเช่า พวกเขามองว่า เศษเงินแค่นี้แลกกับความบันเทิงลิ้นที่ได้กินของแปลกหายาก นอกจากขนหน้าแข้งไม่ร่วง ยังเอาไว้คุยเกทับคนอื่นอีกด้วย”“ผิดกับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้น ซึ่งไม่มีปัญญาจะไปซื้อหาหมู เห็ด เป็ด ไก่มากินเหมือนคนทั่วไป เมื่อหิวโซขึ้นมาจำต้องบากหน้าเข้าป่า เก็บเห็ด ขุดหน่อไม้ ล่าเก้ง กวาง หรืออีเห็นตามแต่จะหาได้ มากินเป็นอาหารเพื่อยังชีพตัวเองและคนในครอบครัว ไม่ได้หวังจะกินเพื่อเป็นยาโป๊หรือโด๊ปอะไรกับใครเขา”แหล่งข่าวว่า นี่คือวิถีการกินสัตว์ป่าของคน 2 กลุ่ม ด้วย เหตุผลที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว.