เมื่อวันศุกร์ที่แล้วผมเขียนถึง “เขื่อนน้ำงึม 2” ที่ผมเพิ่งแวะไปเยี่ยมชม จากการเชิญของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทไทยที่ได้สัมปทานในการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนนี้ผมเปรียบเปรยเอาไว้ในข้อเขียนชิ้นนี้ว่า เขื่อนน้ำงึม 2 เป็นแบตเตอรี่ลูก 1 ในจำนวนหลายๆลูกของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่กำหนดวิสัยทัศน์หลักในการพัฒนาประเทศให้ไปสู่การเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชีย” ในอนาคตโดยตั้งเป้าหมายที่จะผลิตพลังงานไฟฟ้าให้ได้ถึง 20,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2563 ที่จะถึงนี้เหตุผลที่ทำให้ สปป.ลาวมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าจำหน่ายก็เพราะความสมบูรณ์ในทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะแหล่งนํ้าต่างๆนั่นเองนอกจากแม่น้ำโขงแล้ว ยังมีแม่น้ำภายในประเทศอีกหลายสาย ที่สามารถนำไปสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าได้จากตัวเลขรวมๆเท่าที่ผมสอบถามจากท่านผู้รู้ พบว่า ณ ปัจจุบันนี้ ลาวมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้แล้วถึง 42 ลูก...อันหมายถึงมีโรงงานไฟฟ้าแล้วถึง 42 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำถึง 39 แห่งขณะเดียวกัน ก็มีรายงานด้วยว่า รัฐบาลลาวยังเปิดสัมปทานให้มีการก่อสร้างอีก 50 กว่าแห่ง ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จครบถ้วนในปี 2563 ตามเป้าหมายแล้ว จะเป็น 90 แห่งโดยประมาณกล่าวอีกนัยหนึ่งลาวจะมีแบตเตอรี่ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ไม่ต่ำกว่า 90 ลูก ร่วมกันผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เกินเป้า 20,000 เมกะวัตต์ ตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอนพร้อมๆกับเป้าหมายที่จะเป็นแบตเตอรี่แห่งเอเชีย รัฐบาลลาวก็ได้ ตั้งเป้าหมายสำคัญในการที่พัฒนาประเทศลาวให้หลุดพ้นจากกับดักของการเป็นประเทศ “รายได้น้อย” ในปี 2563 เอาไว้ด้วยโดยมุ่งหวังที่จะใช้พลังแบตเตอรี่ดังกล่าวเป็นพลังสำคัญในการผลักดันรายได้เฉลี่ยของลาวให้ก้าวข้ามเส้น “รายได้น้อย” ไปสู่ความเป็นประเทศรายได้ปานกลางขั้นต้นตามคำจำกัดความของระดับการพัฒนาประเทศที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ด้วยรูปแบบการปกครองที่ยังมีการคุมเข้ม ทำให้การคัดค้านจากบรรดาองค์กรเอกชนหรือเอ็นจีโอในการสร้างเรื่องต่างๆแทบไม่มีเลย ในการสร้างเขื่อนพลังน้ำต่างๆอาจจะมีการทักท้วงหรือการแสดงความไม่เห็นด้วยจากภายนอกประเทศบ้าง แต่ที่ผ่านมาการประท้วงภายในประเทศแทบไม่เคยปรากฏแต่ก็มิได้หมายความว่าการไม่มีการทักท้วงจะทำให้รัฐบาลลาวละเลยการดูแลปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมหรือปัญหาข้างเคียงอื่นๆที่อาจเกิดขึ้น เพราะเท่าที่ติดตามข่าวและเท่าที่มีโอกาสไปดูมาแล้วอย่างน้อย 2 เขื่อนก็พบว่ารัฐบาลลาวถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและกำหนดเป็นเงื่อนไขหลัก สำหรับผู้ได้รับสัมปทานและจะมีการตรวจสอบอย่างจริงจังอยู่เสมอนอกจากนี้ ในการก่อสร้างในแม่น้ำที่เป็นนานาชาติอย่างเช่น แม่น้ำโขง รัฐบาลลาวก็รับฟังการทักท้วงจากประเทศเพื่อนบ้าน และจะลงมาดูแลแก้ปัญหาจนเป็นที่น่าพอใจของทุกๆฝ่ายโดยส่วนตัวผมขอแสดงความยินดีกับรัฐบาลลาวที่มุ่งมั่นในเรื่องพลังงานไฟฟ้า และเชื่อว่าจะเป็นรายได้สำคัญของประเทศในการนำมาใช้พัฒนาประเทศ สร้างความอยู่ดีกินดีต่อประชาชนของเขาได้ในที่สุดซึ่งลูกค้ารายใหญ่ก็คงจะเป็นไทยนี่แหละไม่ใช่ชาติเอเชียที่ไหนหรอกครับ เพราะความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าของเรายังสูงอยู่มาก และจะสูงไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่มีหนทางที่จะผลิตด้วยตัวเองให้เพียงพออย่างแน่นอนแต่ขณะเดียวกันก็คงต้องฝากให้ท่านที่มีความรู้เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องน้ำในลำแม่น้ำโขง ซึ่งเราเองก็มีส่วนใช้ประโยชน์อยู่อย่างสำคัญ โปรดช่วยจับตาอย่างใกล้ชิดด้วยถ้าการขยายแบตเตอรี่ออกไปเรื่อยๆของลาวจะมีส่วนสร้างผลกระทบอะไรก็ตามต่อแม่น้ำโขงละก็ ต้องรีบทักท้วงหรือแจ้งให้เขาทราบโดยเร็วนะครับ ในฐานะที่เราก็มีส่วนในแม่น้ำสายนี้ด้วยเหมือนกัน...ขอฝากไว้ด้วยนะครับ!“ซูม”