คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน เคยได้เล่าตำนานของนกฟีนิกซ์ นกอมตะที่ปรากฏอยู่ในหลากหลายอารยธรรมกันไปแล้ว วันนี้มีนกในตำนานปรัมปราอีกตัวที่นำมาเล่าถึง เป็นนกขนาดมหึมาเลยล่ะครับ ใหญ่แค่ไหนไม่มีการระบุไว้ชัดเจนนัก แต่ภาพจิตรกรรมที่แสดงถึงนกชนิดนี้ก็มักจะมี “ช้าง” เป็นเหยื่อที่มันโฉบจับติดกรงเล็บไปเป็นอาหารอยู่เสมอ นกที่ว่านั้นก็คือ นกร็อก (Roc หรือ นกรุค Ruk) นกล่าเหยื่อขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นสัตว์ยอดนิยมในตำนานแถบตะวันออกกลาง ภาพพิมพ์รูปนกร็อกตามตำนานตะวันออกกลาง.นกชนิดนี้ปรากฏตัวอยู่ในประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และธรรมชาติแถบอาหรับครับ มักอยู่ในเรื่องนิทานเล่าให้เด็กฟังหรือเรื่องเล่าของกะลาสีหลายเรื่อง ขนาดนักเดินทางใหญ่ในอดีตเมื่อราว 700 ปีก่อน นามว่า อิบน์ บัตตุตะ (Ibn Battuta) ยังเล่าเรื่องที่นกเหินอยู่ในอากาศเหนือทะเลจีนไว้ และลงความเห็นว่าคือนกร็อกแน่ ภาพวาดในปี 1924 แสดงถึงนกร็อกจับช้างไปกิน.แต่ยังมีเรื่องที่ผมงุนงงสงสัยอยู่ด้วยเรื่องหนึ่งคือ พออ่านลึกๆเข้าไป มันกลายเป็นว่า หาต้นกำเนิดแรกของนกร็อกไม่เจอครับ ที่หนึ่งก็บอกว่าได้จากที่หนึ่ง อีกที่หนึ่งก็ว่าได้มาจากอีกที่หนึ่งต่อไปเรื่อยๆ พาเอาผมค่อนข้างงง แถมยังนึกต่อถึงนกอีกตัวในบ้านเราที่คล้ายๆกับนกร็อกนั่นคือ นกหัสดีลิงค์ ตามตำนานทางภาคเหนือและอีสาน นกตัวนี้ก็ใหญ่พอจะจับช้างไปเป็นเหยื่อ ฟังแล้วไม่รู้ใครให้อิทธิพลใคร ภาพประกอบหนังสืออาหรับราตรี สมัยปี 1907.แต่ไม่ว่าจะมาจากไหน เรื่องราวยอดนิยมเล่าถึงนกร็อกอยู่ในนิทานชุด พันหนึ่งราตรี (One Thousand and One Nights หรืออีกชื่อหนึ่งคือ อาหรับราตรี-The Arabian Nights) เป็นเรื่องนกร็อกของกะลาสีซินแบดนกนี้ปรากฏตัวบนเกาะในเขตร้อนชื้น ระหว่างการเดินทางของซินแบด ว่ากันว่าต้นเรื่องได้อิทธิพลมาจากบันทึกการเดินทางของมาโคโปโล เจ้านกยักษ์นี้อยู่ในคำเล่าขานของนักเดินทางทางทะเลที่ยังใช้ใบเรือกันอยู่ อีกทั้งยังให้แรงบันดาลใจแก่ศิลปินอีกมากหน้าในการวาดภาพนกใหญ่ขนาดที่สามารถใช้กรงเล็บตะครุบช้าง บินเข้าโจมตีเรือแล่นกลางทะเล หรือแก้แค้นใครก็ตามที่ทำลายไข่นกขนาดยักษ์ของมัน ดังเล่าไว้ในการเดินทางของซินแบดครั้งที่ 5 ซึ่งซินแบดได้เจอกับนกร็อกเป็นเรื่องราวที่กะลาสีซินแบดเล่าให้แขกที่มาชุมนุมในงานเลี้ยงของเขาฟัง ดังนี้...“ท่านทั้งหลายที่มาชุมนุมที่นี่ ข้าอยากเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังท่านคงจะได้ยินชื่อของข้ามาบ้างล่ะ และรู้แล้วว่า ข้าคือ ซินแบด พ่อค้าร่ำรวยและมีชื่อเสียงในกรุงแบกแดด แต่ข้าไม่ได้ร่ำรวยมาจากมรดก หากแต่ด้วยการเดินทางผจญภัยทางทะเลถึง 7 ครั้ง จึงทำให้ข้ามีวันนี้ ข้าจะเล่าเรื่องน่าแปลกใจของข้าให้ท่านฟังสักเรื่องก็แล้วกัน... ชาวเรือจับลูกนกร็อกที่เพิ่งออกจากไข่.ในการเดินทางครั้งหนึ่ง หลังจากล่องเรือไปยังท่าเรือมากมายหลายที่ เรือที่ข้าโดยสารก็เดินทางมาแวะพัก ณ เกาะอันน่ามหัศจรรย์กลางทะเล ที่นี่เราพบต้นไม้ออกผลสะพรั่ง เห็นลำธารน้ำใสราวกับแก้ว มีดอกไม้สวยสดงดงาม และนกร้องเพลงเจื้อยแจ้ว แต่กลับไม่มีผู้คนอยู่เลย ข้าแปลกใจมากจึงออกสำรวจ โดยเดินทางไปคนเดียวไม่ทันได้บอกใครลึกเข้าไปจากชายฝั่งไม่มาก มีหน้าผาสูงแค่พอกำลังข้าจะปีนได้ ข้าก็เลยลองปีนขึ้นไป ด้านบนเป็นทุ่งหญ้าทอดยาวต่อไปอีก ข้าชักรู้สึกเหนื่อยก็เลยลงนอนพักบนพื้นหญ้านุ่มแล้วหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทว่าเมื่อตื่นขึ้นก็ต้องตกใจเป็นที่สุด เรือที่โดยสารมาออกเดินทางไปแล้วโดยไม่มีข้า มองเห็นเรือเป็นจุดขาวลิบๆที่ขอบฟ้า ข้าทั้งกลัวทั้งโดดเดี่ยว จึงตัดสินใจเดินทางไต่ไปยังเนินลูกต่อไป ใจหวังเหลือเกินว่า น่าจะมีหมู่บ้านหรือเมืองสักเมืองที่ข้างหน้า แต่ยิ่งล่วงลึกเข้าไปในเกาะมากเท่าใด ข้ายิ่งไม่พบอะไร นอกเสียจาก...อะไรสักอย่างรูปร่างเป็นโดมใหญ่สีขาวตั้งอยู่กลางทุ่งข้าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งจึงสาวเท้าเข้าใกล้ เดินสำรวจไปรอบๆ ก็ไม่เห็นทางเข้า ทันใด นั้นท้องฟ้าก็มืดมิดทันควัน และมีลมแรงอวลอยู่รอบตัวข้า พอมองขึ้นเหนือหัวก็เห็นนกสีดำขนาดยักษ์กำลังโฉบลงมาหา มันกางปีกกว้างมหาศาลก่อนจะนั่งทับลูกโดมสีขาว พลันนั้นข้ารู้ทันทีจากขนาดอันมโหฬารของนก มันต้องเป็นนกยักษ์ที่เรียกว่า ร็อก แน่ๆ และโดมขาวที่เห็นก็จะต้องเป็นไข่ของมัน ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าของนกมหัศจรรย์นี้มาแล้วแต่ไม่เคยเชื่อ ทว่าตอนนี้ข้ากำลังนอนราบอยู่ใต้พุงของมันไม่นานนักนกก็หลับ ข้าคิดถึงแผนที่จะออกจากเกาะขึ้นมาได้จึงแกะผ้าโพกหัว ฟั่นเกลียวให้เป็นเชือกหยาบ มัดเอวตัวเองเข้ากับขานกข้างหนึ่งซึ่งมีขนาดไม่ผิดกับลำต้นไม้ นอนลืมตาด้วยความระทึกตลอดทั้งคืนแทบไม่กล้าขยับตัว รุ่งเช้า พอแสงแรกส่อง สิ่งมีชีวิตยักษ์นั้นก็เหินขึ้นสู่ท้องฟ้า ซินแบดเกาะติดไปกับขานกร็อก.ในที่สุดมันก็ร่อนลงรวดเร็วในตอนแรก แล้วค่อยๆลอยตัวลงเบาๆที่ด้านล่างของหุบเขาลึกในที่อีกแห่งหนึ่งห่างไกลจากเกาะเดิม ข้าเพียงแค่ปลดเชือกที่มัดตนเองจากขานกก่อนที่มันจะบินขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันจิกงูสีดำไปเป็นเหยื่อข้าหันมามองบริเวณพื้นดินที่ลงมาใหม่ ตรงนั้นเป็นหุบเขาเต็มไปด้วยฝุ่นอยู่ใกล้กับเนินเขาที่มีผาชันล้อมรอบทุกด้าน ขนาดที่ว่า ข้าไม่มีความหวังจะปีนขึ้นไปได้ รู้สึกเหมือนตนเองแค่ออกจากเกาะแห่งหนึ่งมาสู่เกาะอีกแห่งหนึ่ง ข้าแทบสิ้นหวัง แต่อย่างน้อยก็มีผลไม้และน้ำจืดพอประทังชีวิต ทว่าเมื่อใจเย็นลง ข้าก็ไล่สายตาสำรวจสถานที่แห่งใหม่ ก็เห็นว่าที่นี่เป็นหุบเขาอาบเรืองไปด้วยแสงสว่างนวลแต่กะพริบพราย มันคือแสง อาทิตย์ยามเช้าส่องสะท้อนกับอัญมณีนับล้าน ซินแบดเก็บอัญมณีจากหุบเขาที่เต็มไปด้วยอสรพิษ.ที่เกลื่อนกล่นอยู่บนพื้นดิน มันเป็นทรัพย์มั่งคั่งมหาศาลที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ทว่า...รอบพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเพชรพลอยตรงนี้ มีงูพิษเลื้อยล้อมอยู่คลาคล่ำ ต่างพันธุ์ต่างขนาดเลื้อยพันกันยั้วเยี้ย บางตัวใหญ่ขนาดที่จะกลืนข้าทีเดียวได้ทั้งตัวข้ากลัวมาก แต่ไม่นานก็พบว่า พอดวงอาทิตย์ลอยสูงแผดแสงมากขึ้น สัตว์ปีศาจนั้นก็ค่อยๆเลื้อยกลับเข้าไปในรูมืดในพื้นดินที่มันอาศัย ข้าจึงกล้าออกไปเที่ยวหาน้ำและที่ปลอดภัยสำหรับพักในตอนกลางคืน ในที่สุดก็พบถ้ำขนาดเล็กที่ปลอดภัย ข้าลากหินใหญ่มาปิดทางเข้าเอาไว้ คืนนั้นข้านอนสั่นสะท้านด้วยความกลัวเมื่อได้ยินเสียงงูขู่ฟ่ออยู่นอกทางเข้า ลิ้นสองแฉกแหลมราวกับแส้แลบเข้ามาตรงช่องหิน จนเช้าพวกมันจึงเลื้อยลับไป ข้าทั้งเหนื่อยทั้งหิวมาก จึงเสี่ยงกลิ้งหินปากถ้ำออกไปหาอาหารแค่เดินไปไม่กี่ก้าวก็มีวัตถุอย่างหนึ่งถูกทุ่มผ่านหัวไปยังด้านข้างเนิน มันคือซากแกะเพิ่งถูกฆ่า แล้วก็ตามมาด้วยตัวที่สองและตัวที่สาม ตัวหลังสุดตกลงใกล้ตัวข้า นี่คือสัตว์ที่ถูกโยนลงมาโดยพวกล่าเพชร พวกนี้หวัง ว่าจะมีอัญมณีติดเข้าไปในขนแกะ จากนั้นจะมีนกอินทรียักษ์มาขยุ้มซากแกะไปเป็นอาหารที่รังบนยอดเขา แล้วพวกล่าสมบัติก็จะปีนตามไปเก็บอัญมณีด้วยวิธีไล่นกให้ตกใจ นกร็อกบินกลับมาที่รัง.ความกลัวว่าจะไม่มีทางหนีจากหุบเขาของข้าเริ่มมีทางออก เมื่อเห็นนกอินทรีถลาลงขยุ้มซากแกะแล้วพาบินไป ข้าเที่ยวเก็บก้อนเพชรยัดใส่ทุกกระเป๋าเสื้อและผ้าในส่วนที่จะเก็บได้จนแน่น จากนั้นก็เลือกซากแกะตัวใหญ่ที่สุด ถอดผ้าโพกหัวออกมามัดตัวเองเข้ากับมัน นอนรออยู่ในซากนั้น ไม่นานนักข้าก็รู้สึกเหมือนลอยขึ้นในอากาศ อินทรีใหญ่ที่สุดที่ข้าเคยเห็นพาข้าบินสูงขึ้นและสูงขึ้นไปถึงรังของมันที่ริมผาชันก่อนที่จะมีโอกาสหนี อินทรีตัวนั้นก็เริ่มฉีกเนื้อแกะ จะงอยปากแหลมคมแทงเข้ามาเฉียดใบหน้าของข้า แต่แล้วจู่ๆนกบินขึ้นฟ้า มันตกใจเสียงของกลุ่มคนที่ร้องตะโกนไล่และตกใจหินที่โดนทุ่มเข้าหา ข้ารีบแก้มัดตนเองให้เป็นอิสระ แล้วยืนขึ้น พวกล่าเพชรก็ตกใจที่ได้เห็นข้าในร่างโชกเลือดแกะ“ข้ามีเพชรมากกว่าที่เจ้าเคยเห็น และมากกว่าที่พวกเจ้าต้องการ” ข้าส่งเสียงออกไป “และข้าก็เก็บมันมาด้วยมือของตนเอง” ข้าเปิดกระเป๋าให้พวกเขาดูและเล่าเรื่องที่เจอมา พรานล่าเพชรจึงพาข้าไปที่เต็นท์ของเจ้านาย ข้าบอกเขาว่าจะยกเพชรให้เท่าที่เขาต้องการ แต่เขาก็หยิบไปเพียงน้อยนิด “เท่านี้ก็พอแล้ว ที่เหลือจงเก็บเอาไว้เถิด เจ้าสมควรจะได้”จากนั้นข้าก็เดินทางกลับไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด ขายอัญมณีได้เงินมามหาศาล แล้วข้าก็ซื้อกองเรือบรรทุกสินค้าหรูหรากลับมาขายที่นี่ แบกแดด นครที่เป็นบ้านเกิด เพชรที่พวกท่านเห็นอยู่บนผ้าโพกหัวของข้านี้ เป็นเพชรเม็ดเดียวที่เก็บไว้เป็นที่ระลึกจากการเดินทางอันน่าประหลาดใจของข้าเอง”.โดย :คอสมอสทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน