จากคุณหมอเมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ซึ่งหมอดื้อ และที่ดื้อน้อยหรือไม่ดื้อเลยน่าจะมีความเห็นตรงกันในวิธีการแก้ปัญหาแบบขมวดปลายดื้อๆ โดยไม่แก้สาเหตุที่หมักหมมมานานๆข่าวการเพิ่มค่าปรับแพทย์ที่จะลาออกจากราชการก่อนใช้ทุนหมดจากสี่แสนบาทเป็นห้าล้านบาท ดูเหมือนใกล้ความจริงมากขึ้นทุกที แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอนถึงตัวเลข แต่ก็น่าจะยืนยันได้ว่าต้องปรับเพิ่มแน่ๆ ข่าวนี้ก็ให้เกิดคำถามตามมาในหมู่บุคลากรการแพทย์ รวมทั้งพยาบาล ทันตแพทย์ เภสัชกร (ที่ต้องโดนเพิ่มด้วยแน่นอน) ว่า จะทำให้แพทย์อยู่ในระบบราชการจนครบภาคบังคับ 3 ปี (แพทย์จบใหม่)/10 ปี (กรณีแพทย์ประจำบ้าน) ได้จริงหรือ.....ไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้ว่า ตัวเลข “สี่แสน” นั้นน้อยเกินไปเหตุเพราะใช้กันมานานเกิน 20 ปีโดยไม่มีการปรับเปลี่ยน แม้ในขณะนั้นข้าวอิ่มท้องมื้อหนึ่งเพียงห้าบาท แต่ในปัจจุบันต้องมีสี่สิบห้าสิบบาท แต่ประเด็นของเรื่องคือ (1) ปรับแล้วจะป้องกันมิให้แพทย์ พยาบาล ลาออกได้จริงหรือ? (2) ถ้าได้ผลในการป้องกันการลาออก แล้วระบบสาธารณทุกข์ของไทย จะกลายเป็นสาธารณสุขได้หรือไม่ (3) นักศึกษาสาขาอื่นในมหาวิทยาลัยของรัฐ ทำไมจึงไม่ต้องมีการใช้ทุน ทำไมจึงมีเรื่องสองมาตรฐาน?ผู้เขียนแม้ไม่ใช่ตัวแทนของแพทย์ทั้งประเทศ แต่ก็เป็นหนึ่งในแพทย์ที่ผ่านระบบการใช้ทุนมายาวนานเกินกว่า 9 ปี ตามสัญญา อีกทั้งยังเป็นแพทย์ในสาขาที่น่าจะได้ชื่อว่างานหนักที่สุด เคยต้องผ่าตัดสมองผู้ป่วยถึงวันละ 9 รายติดต่อกัน เคยต้องอดนอนหรือหลับนกติดต่อกัน 3–4 วัน เคยต้องผ่าตัดคนไข้ทั้งๆที่ตัวเองมีไข้มากกว่า 40 องศา อีกทั้งยังเป็นคนที่ญาติผู้ป่วยมาฝากผีฝากไข้โดยหารู้ไม่ว่าหมอคนนี้ต้องผ่าสมองคนไข้ทั้งที่ตัวเองติดเชื้อในกระแสเลือดอยู่!!! เคยต้องไปขอโทษญาติคนไข้ทั้งๆที่ไม่เข้าใจว่าตนเองทำผิดอะไร แต่ต้องทำเพราะผู้ใหญ่ต้องการให้เรื่องจบเร็วที่สุดประเด็นแรก...เชื่อแน่ว่าเงินห้าล้านสามารถลดชะลอการลาออกของแพทย์พยาบาลได้แน่นอน แต่ไม่ได้ตลอดไป อย่าลืมว่า ธรรมชาติของคนเรา คือการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด ช่วงแรกของแพทย์ใช้ทุน คือช่วงที่ทรมานที่สุดในชีวิตการเป็นแพทย์ ระบบสาธารณทุกข์ของบ้านเรา ส่งแพทย์ที่มีความรู้ทางปฏิบัติน้อยที่สุด ประสบการณ์น้อยที่สุด ไปรับมือผู้ป่วยในที่ที่มีความพร้อมของระบบน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ห้องฉุกเฉิน” หรือ “รพ.ชุมชน” ซึ่งแท้จริงแล้วต้องการแพทย์ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในการรับมือสารพัดความต้องการของผู้ป่วยและญาติ เมื่อรับมือไม่ไหวก็เกิดปรากฏการณ์แห่ศพประท้วง เรียกร้องขอเงิน หรือประจานลง Social media ทั้งๆที่แพทย์พยาบาลล้วนทำงานกันเกินมนุษย์เพื่อสนองตอบนโยบายประชานิยมของนักการเมืองที่ต้องการคะแนนเสียงตุนไว้ตลอดชาติ...ไม่น่าเชื่อว่า ล้นเกล้าฯ ร.5 ได้เลิกทาสไปนับร้อยปี แต่ยังมีระบบแรงงานทาสที่ถูกกฎหมายหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ประเด็นถัดมาคือ จำนวนแพทย์พยาบาลที่เหลืออยู่ในระบบมากขึ้นเพราะผู้กุมนโยบายสร้างกำแพงคุกให้สูงขึ้นด้วยกองธนบัตร จะทำให้สาธารณทุกข์ กลายเป็นสาธารณสุขจริงหรือ? คำถามนี้ลองนึกภาพคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่นำเอาโซ่มาคล้องประตูบ้านอย่างแน่นหนาพร้อมด้วยตรวนผูกติดข้อเท้าลูกๆตนเองเพื่อหวังให้มีคนช่วยงานบ้านมากๆพร้อมกับตั้งความหวังว่า ลูก (ทาส) เหล่านี้จะทำงานบ้านอย่างเต็มใจ ยิ้มแย้ม ต้อนรับแขกทุกคนที่มาเยือนถึงเรือนบ้านด้วยหัวใจมนุษย์....นึกภาพไม่ออกว่า ระบบมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ทำไมพ่อแม่ไม่คิดจะเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ แล้วจูงใจให้ลูกอยู่กับเราด้วยการทำบ้านให้น่าอยู่แบบเดียวกับที่ ปตท. Microsoft หรือ Google ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างเพื่อจูงใจมิให้พนักงานของตนลาออก กระทรวงต้องการเพียงแต่จำนวนแพทย์พยาบาลที่มากขึ้นโดยไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะมีกะจิตกะใจที่จะทำงานถวายหัวให้องค์กร....ผู้เขียนเกรงว่า นอกจากปัญหาการฟ้องร้อง ความไม่พอใจจะไม่ลดลงแล้ว ยังจะยิ่งรุนแรงขึ้น เหตุเพราะบังคับขืนใจให้ใช้แรงงานโดยไม่สนใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของกรรมกรชุดขาวเหล่านี้ประเด็นสุดท้ายที่มีคนถามกันมากมายว่า “เหตุใดจึงมีเฉพาะบุคลากรสายสาธารณสุขเท่านั้นที่ต้องถูกบังคับให้ใช้ทุน?” ทำไมนักศึกษาในสาขาอื่นๆที่รัฐต้องจัดงบอุดหนุนให้กับทุกคณะในมหาวิทยาลัยของรัฐถึงไม่ต้องมีพันธะเช่นนี้ จำได้ว่าเมื่อก่อนรัฐประหาร เกิดปัญหาขึ้นในกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่สามารถหาตำแหน่ง (ทุน) ให้กับแพทย์ที่ต้องการมาเรียนต่อเฉพาะทาง (แพทย์ประจำบ้าน) เหตุเพราะต้องจัดสรรตำแหน่งให้กับแพทย์จบใหม่ซึ่งกำลังจะจบถึงปีละ 4,000 คนในไม่ช้านี้ ในขณะที่ ก.พ.เอง ก็ฮึ่มๆมาตลอดว่าไม่มีตำแหน่งให้อีกแล้ว รมต.สธ.ในขณะนั้นจึงได้เสนอแนวคิดให้ยกเลิกการใช้ทุน (มิใช่แพทยสภาเสนออย่างที่มีคนปลุกปั่นกัน) เหตุเพราะเห็นความจำเป็นในการจัดสรรตำแหน่งเพื่อให้ รพ.ในต่างจังหวัดสามารถบรรจุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ อีกเหตุผลที่สำคัญคือ ถึงแม้ไม่บังคับให้แพทย์ใช้ทุน แต่แพทย์จบใหม่เหล่านี้ก็ไม่สามารถไปทำงานในภาคเอกชนได้ เพราะคุณสมบัติไม่ตรงตามที่ต้องการ (ยกเว้นไปเปิดคลินิกเสริมสวยเอง ซึ่งเงินห้าล้านก็ไม่แน่ว่าจะเอาอยู่) นอกจากนี้ แพทยสภาในขณะนั้นยังได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับฝ่ายการเมืองด้วยการออกกฎว่า แพทย์ที่ต้องการศึกษาต่อเฉพาะทางต้องผ่านการทำงานให้ รพ.รัฐไม่น้อยกว่า 1-3 ปีด้วยวิธีนี้ รพ.ของรัฐในต่างจังหวัดก็จะสามารถได้แพทย์ไปทำงานพร้อมกับหาประสบการณ์ไปด้วย (ระยะหลังจะมีระบบใช้ทุนโดยทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเต็มใจร่วมหอลงโรงกัน)...หากขึ้นค่าปรับเป็นหลักห้าล้านบาท เชื่อว่าอาจมีกรณีฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝ่ายบริหารต้องเตรียมคำตอบไว้ดีๆ เพราะคนเป็นพ่อเป็นแม่คงไม่ยอมให้ลูกตนเองติดคุกง่ายๆในระบบที่เต็มไปด้วยความไม่พร้อมเช่นนี้ขอย้ำว่า ไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าปรับกรณีเบี้ยวทุน แต่ปัญหาที่หมักหมมในระบบสาธารณสุขทุกวันนี้ควรจะได้รับการแก้ไขด้วยการผ่าตัดใหญ่ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องภาระงาน การสุ่มเสี่ยงต่อการฟ้องร้อง แนวคิดของนักกฎหมายที่มีมุมมองว่า “การช่วยชีวิตคนเป็นสินค้าหรือบริการที่มุ่งหากำไร เอารัดเอาเปรียบ” ล้วนแต่ทำให้นักโทษชุดขาวเหล่านี้ต่างมองหาโอกาสในการแหกคุก ไม่ว่าคุกนั้นจะแน่นหนาสักเพียงไร แทนที่จะสร้างคุกกักกันดั่งป้อมปราการ ทำไมผู้บริหารที่ผ่านมา ถึงไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนคุกเป็นคอนโดสุดหรู ที่ทั้งแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วย ต่างแย่งกันเข้ามาอยู่อาศัย......เมื่อไรเราจะมีรัฐบุรุษในระบบสาธารณสุข?หมอดื้อ