จากพื้นเพของครอบครัวทำบ่อเลี้ยงปลาสลิด และมีสวนผักเล็กๆเพื่อนำผลผลิตเหล่านั้นมาขาย ทำให้ เชฟอ้น-อนุกูล พูลพิพัฒน์ หัวหน้าพ่อครัว ซึ่งเชี่ยวชาญตำรับอาหารไทย และร่วมในการบุกเบิกห้องอาหารสยาม ที รูม (Siam Tea Room) โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค มีความหลงใหลและเข้าใจวัตถุดิบพื้นบ้านที่นำมาประกอบอาหารเป็นอย่างดี ประกอบกับคุณแม่และคุณยายยังเป็นกุ๊กชื่อดังทั้งคู่ จึงทำให้เชฟอ้นได้คลุกคลีอยู่กับวิธีการปรุงอาหารมาแต่เด็ก ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น ทำให้เชฟอ้นคว้ารางวัลอันทรงเกียรติมากมาย และยังส่งเสริมอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักในหลากหลายประเทศ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นมาสเตอร์ เชฟ (Master Chef) ณ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท แบงค็อก อีกด้วย เชฟอ้น เล่าว่า จากการอยู่กับธรรมชาติและวิถีชีวิตพื้นบ้านจนคุ้นเคย และมีโอกาสได้สัมผัสการทำงานในครัวโรงแรมก็รู้สึกชอบ จึงรู้เลยว่าควรทำงานในสายนี้ และนับเป็นความโชคดีด้วยที่เคยทำอะไรด้วยตัวเองทั้งหมดมาแล้ว ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น เวลาทำอาหารมักใช้สูตรลับที่สืบทอดมาจากครอบครัว และให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบมากๆ ซึ่งปัจจุบันเมื่อพูดถึงอาหารสุขภาพ หลายคนจะนึกถึงอาหารคลีน แต่ในส่วนตัวนั้น อาหารไทยเป็นอาหารคลีนอยู่แล้ว แม้กระทั่งแกงกะทิบ้านเรา ด้วยความที่มีสมุนไพรเยอะมากๆ พริกแกงหนึ่งตัวมีสมุนไพรเกือบ 12-13 อย่าง ซึ่งที่ใส่ลงไปทุกอย่างไปหักล้างกะทิหมดเลย ดังนั้น ถ้ากินอย่างเหมาะสม จะอย่างไรก็คลีน วันนี้เชฟอ้นจะมาเผยสูตรการทำอาหารพื้นบ้านที่ทำได้ไม่ยาก แต่หาทานได้ยาก อย่างเมนู “ปลาสลิดต้มกะทิ” มีลักษณะคล้ายๆต้มข่าและหลนรวมกัน โดยเชฟอ้นได้นำวัตถุดิบหลักคือ ปลาสลิด ที่ตัวเองคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ในช่วงฤดูฝนหลังจากที่ปลาสลิดได้วางไข่แล้ว ตัวปลาก็จะมีความสมบูรณ์และมีมันมาก โดยเฉพาะในส่วนท้องหรือพุงปลา กินแล้วไม่รู้สึกเหม็นคาว ประกอบกับเป็นช่วงที่มะดันออกผลเยอะในหน้านี้ จึงเป็นส่วนผสมและความอร่อยที่ลงตัวเป็นอย่างมากของสองวัตถุดิบที่ดีของฤดูกาล ซึ่งเคล็ดลับของการทำเมนูนี้คือ ก่อนที่จะปรุงรส ควรเอาปลาใส่ลงไปก่อน พอปลาเริ่มนุ่มแล้วจึงชิมรส เพราะหากรสชาติของปลาสลิดมีความเค็มอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องใส่น้ำปลา แค่เพิ่มความเปรี้ยวด้วยมะดันหรือมะนาวก็พอ โดยส่วนตัวกะทิจะมีความหวานตามธรรมชาติอยู่แล้ว และยิ่งใส่หอมแดง บวกกับน้ำตาลโตนดอีกนิดหน่อย จะช่วยเพิ่มความหวานกลมกล่อมให้อร่อยนุ่มละมุนลิ้นขึ้นไปอีก ส่วนผสม- ปลาสลิด 4 ตัว (สามารถใช้เนื้อเค็ม แทนปลาสลิดได้)- หัวกะทิ 350 กรัม- หัวหอมแดง6-7 หัว- ใบมะกรูด 3-4 ใบ- ตะไคร้ 2 ต้น- ข่าแก่- 5-6 แว่น- พริกขี้หนู- มะนาว มะดัน หรือใบมะขามอ่อน- เกลือ- น้ำตาลปี๊บ- น้ำปลามากน้อยตามชอบ วิธีทำ1) คั้นมะพร้าวด้วยน้ำอุ่นให้ได้กะทิ3-3 ½ ถ้วย 2) หั่นปลาสลิดเป็นชิ้นใหญ่ๆ บั้งให้เรียบร้อย ตั้งกระทะใส่น้ำมัน รอน้ำมันร้อน แล้วนำปลา สลิดลงทอดให้สุกเหลือง จากนั้นพักไว้ 3) ล้างมะดัน/ใบมะขามอ่อน ปอกเปลือกหัวหอมแดงหั่นหนาบางตามชอบ ล้างใบมะกรูดฉีกเอาเส้นกลางใบทิ้งไป ล้างข่าแล้วหั่นเป็นแว่นบางๆ ล้างตะไคร้แล้วหั่นเฉียงๆ บุบพริกขี้หนูพอแตกหักไว้ ล้างมะนาวและฝานเป็นเสี้ยว 4) นำกะทิใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟกลางมาทางอ่อน คนเป็นระยะๆ อย่าปล่อยให้เดือดแรง เมื่อกะทิเดือดอ่อนๆแล้วจึงใส่ข่า ตะไคร้ และหัวหอมแดงลงไป รอให้กะทิเดือดอีกครั้ง หมั่นคนเป็นระยะ 5) เมื่อกะทิเดือดอีกครั้งใส่ปลาสลิดที่ทอดไว้ลงไป ใช้ทัพพีกดให้ปลาสลิดจมน้ำแกง ทิ้งเวลาไว้สักพักให้ปลาสลิดอุ้มน้ำแกงและอ่อนตัวลง ปลาสลิดจะคลายความเค็มออกมาในน้ำแกง ลองชิมรสชาติว่ามีความเค็มและหวานมากน้อยแค่ไหน 6) ปรุงรสเพิ่มด้วยเกลือ น้ำปลา หรือน้ำตาลปี๊บให้รสชาติออกเค็มและหวาน รอน้ำแกงเดือดอีกครั้งใส่หัวหอมแดง พักเวลาไว้ให้หัวหอมแดงนิ่มลง ใส่ใบมะขามอ่อนและใบมะกรูด คนพอทั่ว ปิดเตา ปรุงรสเพิ่มด้วยน้ำมะนาวและพริกขี้หนู.