ตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ ปี 2008 ที่เรียกกันว่า “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” จนถึงปีนี้ครบ 10 ปีพอดี วันพุธที่แล้ว 13 มิถุนายน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติเอกฉันท์ ปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 1.75–2.0% และส่งสัญญาณว่า ครึ่งปีหลังจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้งรวมเป็น 4 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ ดอกเบี้ยเฟดสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 2.25–2.50% สูงกว่าดอกเบี้ยไทยถึง 0.75–1% ทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออก 5 เดือนแรกเงินทุนไหลออกไปแล้วกว่า 150,000 ล้านบาท จะรุนแรงหรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป แม้ไทยมีเงินทุนสำรองค่อนข้างมาก แต่ก็ประมาทไม่ได้เหตุผลที่ เฟด ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ 4 ครั้ง เพราะ เศรษฐกิจสหรัฐฯมีการขยายตัวในอัตราที่แข็งแกร่ง โดย เฟด ได้ เพิ่มจีดีพีสหรัฐฯปีนี้จาก 2.7% เป็น 2.8%สาเหตุที่เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งมาจาก “มาตรการลดภาษี” ของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีผลในปีนี้ ทำให้ธุรกิจเอกชนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ ภาษีนิติบุคคลลดจากร้อยละ 35 เหลือร้อยละ 21 และยังเปิดโอกาสให้บริษัทที่เก็บเงินกำไรไว้ต่างประเทศมากมาย นำเงินกำไรกลับเข้าประเทศโดยเสียภาษีครั้งเดียวในอัตราต่ำร้อยละ 15.5 ทำให้มีเงินทุนไหลเข้าประเทศสหรัฐฯมากมาย มีการขยายธุรกิจและการจ้างงานมากขึ้นถัดมาวันที่ 14 มิถุนายน ธนาคารกลางยุโรป ก็มีมติให้ ปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีจากระดับ 30,000 ล้านยูโรต่อเดือน ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน เหลือ 15,000 ยูโรต่อเดือนตั้งแต่เดือนตุลาคม และ เลิกคิวอีในสิ้นปี 2561 หมายความว่า ปีหน้ายุโรปก็จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐฯเมื่อสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ ยุโรป ขึ้นดอกเบี้ย ประเทศเศรษฐกิจเล็กๆอย่างไทย ผมเชื่อว่าคงฝืนได้ไม่นาน ลองไปดู ขนาดเศรษฐกิจ สองกลุ่มนี้กันเสียหน่อยครับ สหรัฐฯมีจีดีพีอยู่ที่ 20.41 ล้านล้านดอลลาร์ ครองส่วนแบ่ง 23.3% ของจีดีพีโลก และ สหภาพยุโรปมีจีดีพีรวมกัน 16.397 ล้านล้านดอลลาร์ ครองส่วนแบ่งร้อยละ 18.71 ของจีดีพีโลก สองกลุ่มรวมกันมีจีดีพีเท่ากับ 42% ของจีดีพีโลก เมื่อสองกลุ่มนี้ขึ้นดอกเบี้ย ทั่วโลกก็ยากที่ต้านไหว แม้แต่จีนที่มีขนาดเศรษฐกิจ 14.09 ล้านล้านดอลลาร์ ก็ครองส่วนแบ่งจีดีพีโลกเพียงร้อยละ 16.1 เท่านั้นดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ มองว่า การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯครั้งนี้ นอกจากทำให้เงินทุนไหลออกจากไทยแล้ว ผลกระทบที่จะตามมาอีกก็คือ เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจไม่ดี มีการกู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์สูงจะเกิดปัญหาการชำระหนี้ เพราะดอกเบี้ยแพงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์ก็แพงขึ้นด้วย เวลานี้เริ่มมีสัญญาณตลาดเกิดใหม่หลายแห่งมีความเสี่ยงสูง เช่น อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา ตุรกี(วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน อาร์เจนตินา เพิ่งลงนาม กู้เงินไอเอ็มเอฟ 50,000 ล้านดอลลาร์ 1.6 ล้านล้านบาท เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจในประเทศที่ย่ำแย่ เงินเฟ้อปีนี้คาดว่าจะพุ่งขึ้นไปถึง 27% ขณะที่ค่าเงินเปโซดิ่งลงไปกว่า 20% แล้ว ส่วน เวเนซุเอลา ไอเอ็มเอฟคาดว่า เงินเฟ้อปีนี้จะพุ่งขึ้นไปถึง 13,000% ก็ไม่รู้ประชาชนจะมีชีวิตอยู่กันยังไง เห็นอพยพหนีภัยบ้านเกิดตัวที่กำลังล่มสลายจากฝีมือนักการเมือง)ผมเห็นด้วยกับ ดร.กอบศักดิ์ ว่า ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ บวกกับความอ่อนแอของประเทศตลาดเกิดใหม่ จะทำให้เศรษฐกิจโลกมีความเปราะบางมากขึ้น ในระยะต่อไป ไทยจึงควรสร้างความเข้มแข็งจากเศรษฐกิจภายใน แม้จะไม่กังวลว่าไทยจะมีปัญหาในรอบนี้ แต่ก็ต้องระวังในเรื่องความผันผวนมีเกจิวิเคราะห์กันว่า เศรษฐกิจโลก กำลังจะมาถึง “วงจรวิกฤติรอบใหม่” ในอีกสองปีข้างหน้า วันนี้มีหลายสัญญาณเริ่มชัดเจนแล้ว วันวาน ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 50,000 ล้านดอลลาร์ เปิดสงครามการค้ากับจีนเรียบร้อยไปแล้ว ใครเป็นนักลงทุนยามนี้ ผมว่าเก็บเงินสดไว้บ้าง ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น.“ลม เปลี่ยนทิศ”