ชาวอำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ต่างยินดีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรีบินตรงไปลงที่สนามกีฬารวมใจชุมแสง วันที่ 11 มิถุนายนนี้ เพื่อไปเยือนชุมชน 100 ปีชุมแสง ริมน้ำน่าน ก่อนจะนั่งรถไฟไปประชุม ครม.สัญจรต่อที่ตัวเมืองนครสวรรค์วิถีบรรพบุรุษชาวชุมแสงที่สั่งสม ด้วยเป็นชุมชนฝั่งตะวันตกริมน้ำน่านมาแต่ปี 2446 มีคลองจระเข้เผือกกับคลองระนงเชื่อมต่อถึงกัน แล้วยังมีน้ำยมไหลมาบรรจบที่ตำบลเกยไชย ทำให้ได้ชื่อว่าแหล่ง “น้ำไหลทรายมูล” สำหรับการเดินเรือเข้ามาค้าขาย จนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าข้าวเปลือก จากปากน้ำโพ...พิจิตร พิษณุโลก ไล่เรื่อยลงไปยังชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง กระทั่งถึงกรุงเทพฯสมฤดี จิตรจง ผอ.ภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บอกว่า อำเภอชุมแสงเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของคนไทยเชื้อสายจีนที่สืบสานกันมานานจนกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีประจำปีที่ยิ่งใหญ่ จึงได้ร่วมมือกับกลุ่มพัฒนาเมืองชุมแสงเตรียมออกแบบส่งเสริมฟื้นฟูให้เป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชน สัมผัสบูชากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ชุมชนมายาวนาน...ที่แม้เรื่องราวจะเป็นเพียงตำนานเล่าขาน ทว่า คุณค่าทางจิตใจในศรัทธานั้นมหาศาลเกินการประมาณได้OOOOหยวย (แซ่กัว) คลอวุฒินันท์ วัย 92 ปี ปราชญ์ท้องถิ่นชุมแสง เล่าว่า ที่นี่เคยเฟื่องฟูช่วงการค้าข้าวเปลือกทางเรือเอี้ยมจุ๊นสู่กรุงเทพฯ มีเรือยนต์โดยสารเขียว-แดง ขึ้นล่อง 2 วัน 1 คืน กับเรือยนต์ลากซุงเข้าโรงเลื่อยเมืองกรุง จึงมักเลือกพักแรมกันที่ชุมแสง ซึ่งมีโรงแรมเรือนไม้ ร้านค้าขาย กระทั่งโรงหนังให้ความบันเทิง ปี 2458 มีการสร้างสถานีรถไฟชุมแสง กับทางรถไฟสายเหนือ ทำให้มีคนจีนจำนวนมากเข้ามารับจ้างทำงานเป็นกุลี จนงานแล้วเสร็จก็คงปักหลักค้าขายอยู่รอบๆสถานีรถไฟ กลายเป็นต้นกำเนิดของคนแซ่จึง แซ่เอี้ย ที่ขายของกินของใช้ แซ่แต้ แซ่ฉั่ว แซ่เอง ขายทองกับเสื้อผ้า แซ่กัวขายกาแฟ คนแซ่โง้วขายยาในชุมแสง“คนจีนเหล่านี้ขยันค้าขายจนร่ำรวยมีอันจะกิน โดยพื้นฐานคนพวกนี้ล้วนยึดมั่นศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยคุ้มครองให้ความปลอดภัย และให้ชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง สามารถอยู่กินได้อย่างมีความสุขเรื่อยมา”ปี 2469 บรรดาอาแป๊ะ เถ้าแก่ได้ประสาน “เท้ามั้ง” กรรมการศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ชุมแสง ที่เป็นศาลไม้สักขนาดเล็กตั้งอยู่ปากคลองจระเข้เผือก แจ้งประสงค์จะขอออกรับบริจาคเงินเพื่อมาบูรณะศาลเดิม ซึ่งสร้างมากว่า 50 ปีจนชำรุดทรุดโทรมไปมาก อีกทั้งคับแคบเกินจะรับชุมชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้“ศาลหลังใหม่เป็นอาคารโบกอิฐถือปูนแบบจีน ที่ซินแสเป็นผู้ออกแบบตามคติจีน และตั้งอยู่ถัดจากศาลหลังเดิมเล็กน้อยอย่างที่เห็นทุกวันนี้ สร้างเสร็จปีเดียวกันด้วยเงิน 1,800 บาท (หนึ่งพันแปดร้อยบาท) สมัยนั้น” ลุงหยวย ว่า “เดิมทีศาลแห่งนี้เป็นเพียงศาลาเรือนไม้เล็กๆตรงปากคลองจระเข้เผือก ที่ชาวเรือซึ่งเข้ามาค้าขายสินค้าในน่านน้ำแถบนี้ปลูกสร้างขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล และคุ้มครองความปลอดภัย” ที่สำคัญผู้คนที่สัญจรผ่านไปมายังขอพรดลบันดาลให้ทำมาค้าขายขึ้น “คนเรือ” ทุกรายที่ผ่านจึงต้องกราบไหว้ก่อนเอาเรือเข้าตลาดกลาง น้ำยมน้ำน่าน โดยศาลแห่งนี้เป็นเพียงศาลาโล่งริมน้ำ ปราศจากเทพจำลองให้เห็น นอกจากซากหัวจระเข้ที่ชาวเรือนำมาเซ่นบูชา“อยู่มาวันหนึ่ง...เกิดน้ำเหนือหลาก มีไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งไหลตามกระแสลงมาถึงหน้าศาล ให้เกิดเป็นน้ำวนจนไม้ท่อนนั้นหมุนวนอยู่กลางวังน้ำอย่างอัศจรรย์ ชาวบ้านต้องจุดธูปอธิษฐานถึงเจ้าพ่อ และได้รับคำตอบเป็นความฝันกลับมาว่า ไม้ท่อนนั้นคือสิ่งที่เจ้าพ่อตั้งใจส่งมาให้ลูกหลาน ได้นำไปแกะจำลองเป็นรูปเจ้าพ่อประดับศาล ให้ลูกหลานได้พากันสักการบูชา”OOOO ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...หลังมีการนำรูปจำลองจากไม้อัศจรรย์ท่อนนั้นไปประดับไว้ยังศาลแล้ว ไม่นานให้เกิดมีคนแอบมาขโมยเอารูปดังกล่าวไปฝังดินไว้ครั้งหนึ่ง กับไปแขวนไว้บนยอดไม้อีกครั้งหนึ่ง แต่ชาวบ้านก็ค้นหาจนพบทั้งสองครั้ง ตามคำบอกเล่าของเจ้าพ่อผ่านความฝันชาวบ้านและ...ผู้คิดร้ายก็ให้มีอันจบชีวิตโดยพลัน อย่างไร้สาเหตุในเวลาต่อมานอกจากนี้ยังมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับตำนานรักของเจ้าพ่อที่ไปเข้าฝันชาวบ้านบอกเพียงว่าอยากได้เจ้าแม่เกยไชยที่อยู่ต่างตำบลมาอยู่คู่กัน ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันยกขันหมากไปสู่ขอ อัญเชิญมาประทับร่วมกัน ณ ศาลปากคลองจระเข้เผือก จนบัดนี้พร้อมตั้งชื่อศาลให้ใหม่ว่า “ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ชุมแสง” “ทุกครั้งที่เกิดเหตุร้ายกับชุมแสง” มีความเชื่อศรัทธากันว่า เจ้าพ่อเจ้าแม่จะช่วยพิทักษ์ให้เหตุร้ายกลายเป็นดีได้ทุกคราวไป เช่น เมื่อครั้งเกิดไฟไหม้ตลาดชุมแสง ทำท่าว่าจะลุกไหม้บ้านเรือนไม้ไปทั้งเมือง ขณะชาวบ้านร่วมกันดับไฟก็พร้อมใจกันอธิษฐานถึงเจ้าพ่อเจ้าแม่ ไม่นานไฟถึงดับสนิทลงทันที...“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.รัก–ยม