“บึงกาฬ”...เป็นจังหวัดที่ 77 เมื่อปี 2554 ที่มีความโดดเด่นทางการท่องเที่ยว เช่น อยู่ติดแคมของ (โขง) มีเมืองปากซัน แขวงบอลิ-คำไซย สปป.ลาว ฝั่งตรงข้าม โดยนักท่องเที่ยวนั่งเรือยนต์รับจ้างข้ามฝั่งไปชมวิถีชุมชนคนที่นั่นได้แล้วยังมีวัดอาฮง วัดพัฒนาประจำจังหวัด อยู่เคียงข้างสะดือน้ำโขง กับมีภูลังกาต่อเขต จ.นครพนม มีเขตห้ามล่าบึงโขงหลงแหล่งชุ่มน้ำอันดับ 1,098 ของโลก และอันดับ 2 ของไทย โดยเป็นแหล่งอาศัยของบรรดานกน้ำหลายหลากชนิด ที่นับวันใกล้จะสูญพันธุ์เต็มทนแล้ว เสกสรร ศรีไพรวรรณ ผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานอุดรธานี เปิดประเด็นอีกว่า ห่างตัวบึงกาฬอีกเพียง 5 กิโลเมตร ยังมี “หนองกุดทิง” แหล่งชุ่มน้ำแห่งที่ 2 ของเมืองนี้ หรืออันดับที่ 12 ของไทยน่าสนใจว่า...หนองน้ำที่ว่านี้มีตำนานเล่าขานกันมาว่า เป็นถิ่นกำเนิด “เจ้าแม่สองนาง” โซ่ทองของชาวบึงกาฬมากว่า 100 ปี ปัจจุบันก็ยังเปี่ยมด้วยพลังศรัทธาในสองเจ้าแม่ที่มีศาลอยู่ใจกลางเมืองตรงมุมถนนคุ้มกลาง บรรจบถนนศาลเจ้าแม่ฯ บนทาง 3 แพร่ง บริเวณหน้าโรงพยาบาลบึงกาฬ คนบึงกาฬยกย่องบูชาว่า เจ้าแม่สองนางคือสองศรีพี่น้องนามว่า “นางสาวเหลา” หรือ “กิมเหลา” กับ “นางสาวเภา” หรือ “กิมเภา” บุตรี “ญาพ่อผ้าขาว” บ้างก็เรียก... “ญาพ่อชีปะขาว” โดยญาพ่อนั้นหมายถึงผู้นำประจำถิ่น ที่มีคาถาอาคมรักษาผู้ป่วยไข้ให้หายขาดได้ อีกทั้งเป็นผู้มีเวทมนตร์ขจัดภูตผีปีศาจและสัตว์ป่าที่สิงสถิตอยู่เหนือหนองกุดทิง มิให้เข้ามาคุกคามชีวิตชาวชุมชนแถบนั้นญาพ่อผ้าขาวใช้ชีวิตอยู่กับหนองกุดทิงจนชราภาพ และก่อนตายก็ได้สั่งเสียบุตรีทั้งสองให้นำเอาวิชาความรู้ที่ได้ถ่ายทอดให้ไปรักษาชาวบ้านคุ้มกลางซึ่งอยู่ห่าง 5 กิโลเมตร ให้รอดปลอดภัยจากภยันตราย อย่าให้แผ้วพาน...ครั้นเมื่อญาพ่อสิ้นลม ชาวหนองกุดทิงก็ร่วมใจกันสร้างศาลเจ้าญาพ่อผ้าขาวขึ้นบริเวณหนองกุดทิงเพื่อเป็นที่สถิตดวงวิญญาณดังกล่าวไว้ให้ชาวประชาได้กราบไหว้บูชา ส่วนสองนางก็คงใช้ชีวิตดูแลผู้คนอยู่ที่บ้านคุ้มกลางจนชราภาพและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ชาวบ้านคุ้มกลางจึงได้พร้อมใจกันสร้างศาลถวายให้ เป็น “ศาลเจ้าแม่สองนาง” อยู่ใจกลางเมืองจนถึงปัจจุบัน โดยมีภาพเจ้าแม่สองนางแกะสลักปิดทองอยู่บนแท่งหินกลางศาลให้ผู้คนได้บูชาและไหว้เป็นมงคลยามเดินทางผ่าน ด้วยเชื่อว่า ทั้งญาพ่อชีปะขาวและเจ้าแม่สองนางไม่น่าจะใช่มนุษย์ หากเป็นเทพยดาที่จุติลงมายังโลก เพื่อคอยคุ้มครองชีวิตมนุษย์ที่นั่นอีกทั้งคุ้มครองหนองกุดทิงกับลำน้ำโขงให้คงความสมบูรณ์อยู่คู่บึงกาฬ เพื่อหล่อเลี้ยงพืชไร่กับผืนนา และหมู่กุ้งหอยปูปลาให้ชาวบ้านได้ออกหามาเป็นอาหารเลี้ยงชีพ ด้วยอานิสงส์ดังกล่าว พอถึงเทศกาลบุญบั้งไฟประจำปี ชาวบึงกาฬจึงทำพิธีจุดบั้งไฟถวายญาพ่อผ้าขาวกับเจ้าแม่สองนาง เพื่อขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลทำนา เรียกว่า “วันเลี้ยงลง” ช่วงเดือน 6 และ “วันเลี้ยงขึ้น” อีกครั้งเมื่อหลังฤดูทำนาแล้วเสร็จ การบวงสรวงเจ้าแม่สองนางครั้งใหญ่ประจำปีจะมีในช่วงวันเสาร์ที่ 4 เดือนพฤศจิกายน โดยแล้วแต่ว่าจะเป็นข้างขึ้น หรือข้างแรม สุพรรณ สิงห์หิรัญ ผู้ดูแลศาลคนล่าสุด ต่อจาก “จ้ำ” ที่หมายถึงผู้มีจิตปฏิสัมพันธ์กับวิญญาณเจ้าแม่ได้ เล่าว่า ผู้มากราบไหว้ส่วนใหญ่จะมาตั้งจิตอธิษฐานบนบานให้เจ้าแม่หนุนนำเรื่องโชคลาภ หน้าที่การงาน ลาภยศ ตลอดจนคู่ครอง...บุตร อีกทั้งคุ้มครองชีวิตให้ปราศจากสิ่งชั่วร้าย ความป่วยไข้ปัจจัยทุกอย่างจะต้องจัดมาเป็น “คู่” เพื่อถวายบูชา “สองนาง” ได้แก่ ไก่ 4 ตัว มะพร้าว 4 ผล เหล้าขาว 4 ขวด น้ำส้มน้ำหวานอย่างละ 4 ขวด หรือ 4 แก้ว นอกจากนี้ก็มีเครื่องบายศรี หมากเบ็ง มาลัย เครื่องสำอาง เครื่องประดับ เสื้อผ้า ผลไม้ที่เป็นชื่อมงคล ธูป 9 ก้าน เทียน 2 เล่มคาถาบูชาให้ตั้งนะโม 3 จบ ก่อนกล่าว “เสด็จย่าสองนาง มหาเทวา มัสมิง ทิสา อนุรักขันตุมหาเทวา มหิทธิกา เตปิ อัมเห อนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุขเขนะจะ ข้าแต่พระองค์เสด็จย่าสองนาง องค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เปี่ยมล้นแล้วซึ่งอิทธิฤทธิ์ เมตตา บารมี วันนี้ข้าพเจ้า..........ขอกราบบูชา องค์เสด็จย่าสองนาง ขอให้ข้าพเจ้าห่างไกลจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง และมีความสุข ความเจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภผลทุกสิ่ง และประสบความสำเร็จ ทุกประการด้วยเทอญ” หลายคนที่มานอนป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล...อธิษฐานขอให้เจ้าแม่ช่วยปกปักรักษา ก็มักฝันเห็นองค์เจ้าแม่ทั้งสองแต่งชุดไทยมาปรากฏให้เห็นอยู่ข้างเตียง เหมือนมาดลใจให้โรคภัยหายขาดแล้วก็หายได้ดังใจหวังอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนมากราบไหว้บนบานขอนั่นขอนี่แต่ก็ไม่ได้ดังที่หวังไว้... ถามไถ่รู้ความว่าคนที่ไม่เคยเชื่อมั่นศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าแม่สองนาง มักจะไม่ได้ในสิ่งที่มาเพื่อขอรับโดยไม่เคยรำลึกถึงมาก่อน“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”. รัก–ยม