พระพุทธสิริสุวรรณภูมิ...ที่วัดโขลงสุวรรณคีรี.นานๆจะนึกสนุกอยากไปเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพฯ แต่ด้วยคำแนะนำของ “พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์” ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทำให้ต้องบึ่งรถออกนอกเมืองไปค้นหาความลับของอาณาจักรทวารวดี ที่ท่านปลัดฯยืนยันว่า น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าการไปเที่ยวอินเดีย หรืออินโดนีเซีย เลยทีเดียวแรกเริ่มเดิมที ไม่มีใครรู้ว่าศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีจริงๆแล้วอยู่ที่ใดกันแน่ เพราะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งที่ ศรีเทพ เพชรบูรณ์ หรือแอ่งอารยธรรมสกลนคร แต่ที่ดูเหมือนจะปรากฏชัดมากที่สุด จากการขุดพบโบราณสถานและโบราณ วัตถุ เห็นจะเป็นในแถบลุ่มน้ำภาคกลาง คือ สุพรรณบุรี ราชบุรี และ นครปฐม ดังปรากฏในบันทึกของหลวงจีนจี้ชิง ที่เรียกอาณาจักรแถบนี้เมื่อ 1,300 ปีก่อนว่า โต-โล-โป-ตี้ ซึ่งถ้าออกเสียงตามคำเรียกของหลวงจีนจี้ชิง ก็น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า “ทวารวดี” มากกว่าคำอื่นๆว่าแล้ว...ก็แบกกล้อง ไปท่องทวารวดีกันเลย... พระปฐมเจดีย์...เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย.เริ่มต้นที่ วัดพระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน องค์พระปฐมเจดีย์ มหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างในสมัยทวารวดี และเป็นพระเจดีย์เก่ากว่าพระเจดีย์อื่นๆ ในประเทศสยามเคยขับรถผ่านองค์พระปฐมเจดีย์หลายครั้ง ก็เห็นแค่ว่าเป็นเจดีย์ใหญ่ ดูสวยงาม ผู้คนพากันมา กราบไหว้ไม่ขาดสาย แต่เมื่อมากราบองค์พระปฐมเจดีย์ตามคำแนะนำของปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คราวนี้ กลับรู้สึกว่า องค์พระปฐมเจดีย์ที่อยู่เบื้องหน้านี้ ยิ่งใหญ่ กว่าที่เคยรู้สึกหลายเท่าค้นคว้าจากข้อมูลที่มีอยู่ บอกว่าพระเจดีย์องค์ใหญ่นี้ มีต้นแบบมาจากเจดีย์สาญจิ ในประเทศอินเดีย ซึ่งพระโสณะเถระและพระอุตตรเถระ พระธรรมทูตที่เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ โดยเริ่มต้นที่นครปฐมเป็นที่แรก ราวพุทธศตวรรษที่ 3 ได้ สร้างเจดีย์ทรงระฆังคว่ำปากผาย มีโครงสร้างเป็นไม้ซุงรัดด้วยโซ่เส้นมหึมาก่ออิฐถือปูน ต่อมาจึงมีการปูทับประดับด้วยกระเบื้อง ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน พระพุทธรูปศิลาขาว หรือ “หลวงพ่อประทานพร”.แต่สิ่งที่ยืนยันชัดว่าดินแดนแถบนี้เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีมาก่อน เห็นจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะทวารวดี โดย เฉพาะ พระพุทธรูปศิลาขาว หรือ “หลวงพ่อประทานพร” พระประธานในพระอุโบสถของวัดพระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ขุดพบในจอมปลวกที่วัดทุ่ง–พระเมรุ และชาวบ้านช่วยกันอัญเชิญมาประดิษฐานที่นี่ ว่ากันว่าเป็นประพุทธรูปที่สามารถถอดได้เป็นส่วนๆ เมื่อมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายก็สามารถถอดออกได้พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน เห็นจะเป็น พระพุทธนรเชษฐ์ เศวตอัศมมัยมุนี ศรีทวารวดีปูชนียบพิตร เรียกพระนามสั้นๆ ว่า พระพุทธนรเชษฐ์ฯ หรือ “หลวงพ่อขาว” เป็น พระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ ปางประทานปฐมเทศนา ประทับนั่งห้อยพระบาท ศิลปะแบบทวารวดีแท้ๆ ที่อะเมซซิ่งก็คือ พระพุทธรูปในลักษณะนี้ มีอยู่เพียง 6 องค์ในโลกเท่านั้น โดย 5 องค์ อยู่ในเมืองไทย ส่วนอีก 1 องค์อยู่ที่เมืองยอร์กยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย พระพุทธนรเชษฐ์ฯ หรือ “หลวงพ่อขาว” 1 ใน 6 องค์ของโลก.แค่ได้รู้ถึงประวัติศาสตร์ของพระพุทธรูปเก่าแก่ ทั้ง 2 องค์นี้ ก็ยิ่งตื่นเต้นและทำให้รู้สึกว่า วัดพระปฐมเจดีย์ที่นครปฐมใกล้กรุงเทพฯแค่เอื้อมแห่งนี้ ไม่ธรรมดาเลย ยังไม่รวมความศักดิ์สิทธิ์ของ พระร่วงโรจนฤทธิ์ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ศิลปะแบบสุโขทัย ที่ใครๆก็ต้องมากราบไหว้ เพราะนอกจากจะเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครปฐมแล้ว ยังเป็นที่บรรจุพระราชสรีรางคาร ในรัชกาลที่ 6 และพระอังคารของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 ด้วยจากนครปฐมมุ่งหน้าสู่ราชบุรี เป้าหมายของเราอยู่ที่ วัดมหาธาตุวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ อายุเกือบ 2,000 ปี สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ความโดดเด่นของวัดนี้ คือ พระปรางค์องค์ใหญ่ สร้างด้วยศิลาแลง ตั้งตระหง่านอยู่กลางวัด ด้านบนสุดของพระปรางค์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทวารวดี เก่าแก่ พระพุทธรูปทวารวดี...บนยอดพระปรางค์.จากหลักฐานทางโบราณคดี คาดว่าวัดนี้น่าจะสร้างในสมัยวัฒนธรรมทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 13 แต่มีการดัดแปลงขึ้นเป็นพระปรางค์ และสร้างกำแพงศิลาแลงล้อมรอบเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของเมืองตามคติความเชื่อเรื่องภูมิจักรวาลของเขมร ในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในช่วงที่วัฒนธรรมเขมรจากราชอาณาจักรกัมพูชาได้แพร่เข้าสู่ดินแดนราชบุรี กำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง...วัดมหาธาตุวรวิหาร ราชบุรี.นอกจากองค์พระปรางค์แล้ว ภายในวัดยังมี วิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐาน พระมงคลบุรี และ พระศรีนคร เป็นพระพุทธรูปประทับหันหลังชนกัน มีความหมายว่า การช่วยระวังภัยพิบัติหน้าหลัง จึงเรียกว่า พระรักษาเมือง ส่วนด้านหน้าวิหารมีกำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบองค์พระปรางค์ทั้งสี่ด้าน พระมงคลบุรี และ พระศรีนคร...พระรักษาเมืองราชบุรีไม่ไกลจากวัดมหาธาตุ เป็นที่ตั้งของ เมืองโบราณบ้านคูบัว ซึ่งเป็นสถานที่ที่ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมาก บ่งชี้ว่า เมืองราชบุรีแห่งนี้ เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองในยุคทวารวดี เห็นได้จากสถาปัตยกรรมในเมืองโบราณคูบัว ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะจากช่างสมัยราชวงศ์ คุปตะ ประเทศอินเดีย โดยเฉพาะเศียรพระพุทธรูปสมัยโบราณ การขุดพบโบราณวัตถุจำนวนมากที่นี่ ทำให้มีหลักฐานยืนยันได้ว่า พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองในประเทศไทยมานานกว่า 1,000 ปีแล้ว พระปรางค์ประธาน..วัดมหาธาตุ ราชบุรี.นอกจากนี้ ในบริเวณใกล้ๆกัน ยังเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์โบราณสถานบ้านคูบัว หรืออีกชื่อหนึ่งว่า จิปาถะภัณฑสถานบ้านคูบัว ตั้งอยู่ในบริเวณวัดโขลงสุวรรณคีรี เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของชุมชน ภายในจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และคติชนวิทยาของชาวไท-ยวน มีทั้งห้องแสดงศิลปวัตถุโบราณสมัยทวารวดี, ห้องแสดงวิถีชีวิตของชุมชนไท-ยวน ที่เคลื่อนย้ายจากเมืองเชียงแสน มาตั้งถิ่นฐานอยู่เมืองราชบุรี เมื่อปี พ.ศ.2347 ภายในห้องแสดง เครื่องมืออุปกรณ์ประกอบอาชีพทำนา การดำรงชีวิต การร่วมคิดอ่านพัฒนาชุมชน การเกิด การกิน ฯลฯ ของชาวไท-ยวน อีกห้องหนึ่งเป็นห้องแสดงภูมิปัญญาการทอผ้าจกไท-ยวนเชียงแสน ซึ่งมีมานานกว่า 200 ปี จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมี ห้องแสดงการแต่งกายของชาติพันธุ์ต่างๆ ในจังหวัดราชบุรี อาทิ ชาวไท-ยวน, ลาวโซ่ง, ลาวเวียง, มอญ, กะเหรี่ยง, จีน, ไทซงดำ ไทยพื้นถิ่น ฯลฯเรียกว่า มาที่เดียวได้ดูครบจบกระบวนความ แถมมาคราวนี้ ทำให้เชื่ออย่างไม่สงสัยเลยว่า ศูนย์ กลางของอาณาจักรทวารวดีเมื่อพันกว่าปีก่อน อยู่ที่นี่...ราชบุรี และ นครปฐม แน่นอน.