กลุ่มนักวิชาการที่ตรวจสอบการลงคะแนนประชามติเชิงสัญลักษณ์ที่จัดโดยฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา เมื่อ 16 ก.ค. เผยว่า มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าร่วมประชามติดังกล่าวมากกว่า 7 ล้านคน ผลนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า 98% ของผู้ลงคะแนนเสียง ต่อต้านแผนรัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร เพื่อตั้งสมัชชารัฐธรรมนูญที่มีอำนาจล้มล้างสมัชชาแห่งชาติ (รัฐสภา) และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่นางเซซิเลีย การ์เซีย อาโรชา อธิการบดีเซ็นทรัล ยูนิเวอร์ซิตี ออฟ เวเนซุเอลา แถลงสรุปยอดคนมาใช้สิทธิ์ในการลงประชามติ พบว่า ผู้ใช้สิทธิ์ในประเทศมี 6,492,381 คน และอีก 693,789 คน ใช้สิทธิ์ตามคูหาเลือกตั้งในอีกกว่า 80 ประเทศทั่วโลก โดยผู้ใช้สิทธิ์ 98% ลงคะแนนเสียงสนับสนุนฝ่ายค้าน หรืออีกนัยหนึ่งคือต่อต้านแผนตั้งสมัชชารัฐธรรมนูญของรัฐบาลหัวเอียงซ้าย และสนับสนุนอีก 2 คำถามคือ ข้อเรียกร้องให้มีเลือกตั้งก่อนมาดูโรหมดวาระปี 2562 และให้กองทัพปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งถือว่าชาวเวเนซุเอลาได้ส่งสารที่ชัดเจนต่อรัฐบาลและประชาคมโลกแต่อย่างไรก็ดี ประชามติครั้งนี้ไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย และฝ่ายค้านมีแผนเผาบัตรลงคะแนนด้วย เพื่อไม่ให้คนที่โหวตต่อต้านรัฐบาลตกเป็นเหยื่อถูกตามเล่นงานในอนาคตและระหว่างการทำประชามติเชิงสัญลักษณ์ ยังเกิดเหตุมือปืนไม่ทราบฝ่ายใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะ ยิงใส่ผู้คนที่ยืนต่อแถวรอใช้สิทธิ์ที่คูหาเลือกตั้งในกรุงการากัส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน เป็นนางพยาบาลวัย 61 ปี และมีผู้บาดเจ็บอีก 3 คน ฝ่ายค้านกล่าวหาเป็นฝีมือแก๊งหน่วยรบกึ่งทหาร ส่วนอัยการแถลงจะสอบสวนเรื่องนี้ต่อไป และยังมีนักข่าวคนหนึ่งอ้างว่าถูกฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลลักพาตัว ปล้นและทุบตี แต่หนีรอดมาได้ทั้งนี้ เวเนซุเอลากำลังเผชิญวิกฤติการเมืองและเศรษฐกิจตกต่ำ มีประท้วงต่อต้านรัฐบาลต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน เม.ย. มีผู้เสียชีวิตในเหตุประท้วงแล้วกว่า 100 คน รัฐบาลและฝ่ายค้านกล่าวหากันและกันเป็นต้นตอของวิกฤติด้านนายมาดูโรกล่าวถึงประชามติของฝ่ายค้าน ว่าไร้ความหมาย เพราะฝ่ายค้านคิดเองทำเอง และย้ำว่าสมัชชารัฐธรรมนูญซึ่งจะมีเลือกตั้งอย่างเป็นทางการใน 30 ก.ค.และรัฐบาลทำการทดสอบการลงคะแนนในคราวเดียวกันนี้ คือหนทางเดียวเพื่อช่วยเวเนฯพ้นวิกฤติ แต่ฝ่ายค้านเห็นตรงข้ามว่า นอกจากไม่แก้วิกฤติยังทำให้รัฐสภาที่ฝ่ายค้านครองอยู่ยิ่งอ่อนแอลง.