วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่ตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เป็นวันเดียวกันแต่คนละปี...เรียกว่า “วิสาขบูชา” ซึ่งพุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาได้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ

ผ่านกาลเวลาล่วงเลยมาแล้ว 2,500 กว่าปี สำหรับในปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 3 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2566 แต่ในปีนี้เป็นปีที่มี “อธิกมาส” ในทางจันทรคติ คือมี 13 เดือน หรือมีเดือน 8 สองหน จึงกลายเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ชาวพุทธจึงได้ให้ความสำคัญในวันดังกล่าวเป็นกรณีพิเศษ

ด้วยการประพฤติธรรม ให้ทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญเพียรทางใจเพื่อให้เกิดบุญกุศลหรือคุณงามความดีให้กับชีวิตของตนเอง รวมถึงให้เกิดความสุขความร่มเย็นกับมวลมนุษยชาติตลอดไป

หลักธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เรียกว่า “อริยสัจสี่” คือความจริงอันประเสริฐสี่ประการคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค “ทุกข์”... คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มนุษย์เรามีความทุกข์ทั้งภายนอกคือกาย ร่างกายไม่ปกติ เจ็บไข้ได้ป่วย...ทุกข์ภายในคือจิตใจไม่ปกติสุขร้อนรุ่ม อึดอัดใจ หดหู่ใจ กระวนกระวายใจ

...

“สมุทัย”... คือ สาเหตุของการเกิดทุกข์ ซึ่งเกิดจากตัณหาคือความอยาก อยากได้นี่อยากได้นั่น อยากจะเป็นอย่างโน่นอยากจะเป็นอย่างนั่นจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดความทุกข์ ซึ่งมนุษย์เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยตราบใดที่ยังมีความอยาก ส่วน “นิโรธ”...คือ ความดับทุกข์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วจะต้องดับลงไป

ความทุกข์จึงจะหายไป นั่นคือการดับ “ตัณหา” ให้หมดสิ้นไปจากตัวเรา

สุดท้าย “มรรค”...คือ หนทางที่นำไปสู่การปฏิบัติให้พ้นจากความดับทุกข์ เรียกว่า “มรรคมีองค์แปด” หรือหนทางแปดประการที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

สำหรับรายละเอียด พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า ประการที่หนึ่ง สัมมาทิฏฐิ คือการเห็นชอบ เห็นในหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ว่าเป็นจริง นั่นคือเห็นในอริยสัจสี่ คนเราเมื่อมีความเห็นไปในทางที่ถูกที่ควรแล้ว สิ่งที่จะดีงามก็จะเกิดติดตามมา

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก
พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก

แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ามีความเห็นไปในทางที่ผิดในทางที่ไม่เหมาะสม จากดีเป็นชั่วหรือจากชั่วเป็นดีแล้ว สิ่งที่จะก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีก็จะติดตามมา สุดท้ายเป็นผลเสียต่อชีวิต ดังนั้นการมีความเห็นผสมผสานด้วยปัญญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง

อย่างเช่นคำโบราณที่ว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” เป็นต้น

ประการที่สอง สัมมาสังกัปปะ คือการดำริชอบ เป็นการดำริที่จะไม่พยาบาทอาฆาตเบียดเบียนคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อน แต่ในทางตรงกันข้ามกลับมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่นให้พวกเขาได้รับแต่ความสุข...ได้รับแต่ในสิ่งที่ดี มีชีวิตอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันทั้งคนที่อยู่ใกล้และคนที่อยู่ไกล

เรียกว่า...มีความคิดที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคนในโลกใบนี้ จึงเข้าทำนองว่า “เป็นบุคคลที่มองโลกในแง่ดี” นั่นเอง

ประการที่สาม สัมมาวาจา คือการเจรจาที่ชอบ การใช้วาจาในการดำรงชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งเพราะวาจาเป็นการสื่อความหมายหรือการแสดงออกอีกทางหนึ่ง การพูดจาที่เป็นโทษคือวาจาที่เป็นคำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ คำเท็จ คำที่ก่อให้เกิดโทษทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น

....เป็นการใช้วาจาใส่ร้ายให้กับคนอื่นจนได้รับความเสียหาย รวมถึงการใช้วาจาที่ไม่ชัดเจนจนก่อให้เกิดการเข้าใจผิดเป็นต้นเหตุให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน รวมถึงหนักไปจนถึงการเข่นฆ่าชีวิตกันก็มีมามากมายแล้ว

การใช้วาจาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้ามีสัมมาวาจาคือการใช้คำพูดที่ถูกที่ควรแล้วก็จะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน จึงเข้าสำนวนว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี”

ประการที่สี่ สัมมากัมมันตะ คือทำการงานที่ชอบ เป็นการประกอบหน้าที่การงานที่ไม่ผิดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาหรือเรียกว่าไม่ผิดศีลธรรม หน้าที่การงานที่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง หน้าที่การงาน

ที่ไม่ผิดกติกาของสังคม รวมถึงไม่ผิดระเบียบประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นๆ

....หน้าที่การงานที่ไม่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือเบียดเบียนคนอื่น ไม่มีการลักขโมยเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของตนเองทั้งทางตรงและทางอ้อม การงานของแต่ละคนจะเจริญรุ่งเรืองหรือจะร่วงโรยไปล้วนอยู่ที่การมี “ธรรมะ” เป็นที่ตั้งหรือถูกต้องตามหลักศีลธรรมหรือไม่เพียงใด? นั่นเอง

ประการที่ห้า สัมมาอาชีวะ คือการเลี้ยงชีวิตที่ชอบ เป็นการเลี้ยงชีวิตของตนเองและครอบครัวที่ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง คนที่เลี้ยงชีวิตด้วยการทุจริตไม่ว่ากรณีใดๆ

สุดท้าย...มักถูกตรวจสอบผลของการกระทำผิดจนถูกจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายรวมถึงถูกยึดทรัพย์สินที่หามาได้ในทางที่ผิดส่งคืนเจ้าของหรือส่งคืนให้กับทางราชการ

ประการที่หก สัมมาวายามะ คือการเพียรชอบ เป็นการใช้ชีวิตที่มีความบากบั่น มุ่งมั่นกล้าต่อสู้กับอุปสรรค มีความพยายามไปจนกว่าจะพบกับความสำเร็จในอาชีพหรือหน้าที่การงานนั้นๆ

“คนที่มีความบากบั่นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อพบอุปสรรคก็ใช้สติปัญญาของตนเองไตร่ตรองปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้นำไปสู่ความสำเร็จ ไม่มีความย่อท้อหรือคิดล้มเลิกความตั้งใจที่ทำมาถึงแม้ว่าจะใช้เวลานานก็ยังมีความเพียรพยายามอย่างสม่ำเสมอ สุดท้าย...ก็จะประสบผลสำเร็จ”

ดังคำพระพุทธองค์ “วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร”

ประการที่เจ็ด สัมมาสติ คือการระลึกชอบ สตินี้มีความสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวัน คนที่จะพูดหรือจะคิดหรือจะทำอะไรก็ตามจะต้องมี “สติ” เป็นที่ตั้ง ทุกวินาทีหรือทุกลมหายใจจะต้องอาศัยสติ ถ้ามีสติตลอดเวลาการที่จะคิดหรือจะพูดหรือจะทำก็ย่อมมีความผิดพลาดน้อยลงไป หรือไม่ผิดพลาดเลย

สติกลายเป็น “หางเสือ” ให้กับทุกชีวิต...มีสติในการขับเคลื่อนทางร่างกาย มีสติในการใช้วาจา มีสติเตือนใจตลอดเวลาจึงจะได้ชื่อว่า “เป็นมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ” จนกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ “สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา สติมาหมาไม่กัด สติถูกตัดจะกัดกับหมา”

ประการที่แปด สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจไว้ชอบ ตั้งใจไว้มั่น สำรวมใจให้แน่วแน่เพื่อให้เกิดปัญญาอย่างแจ่มแจ้ง คนที่มีสมาธิดีจะมีจิตใจที่นิ่ง สงบ ไม่วอกแวก ไม่หวั่นไหวเมื่อสิ่งที่ไม่ดีย่างเข้ามาในชีวิต ในขณะเดียวกันก็ไม่ตื่นเต้นหรือโลดแล่น รวมถึงดีใจจนเกินเหตุ...เมื่อสิ่งที่ดีย่างเข้ามาในชีวิต

...จะเห็นว่าเมื่อเราไปวัด ไหว้พระ สวดมนต์ ส่วนหนึ่งเพื่อให้เกิดมีสมาธิจิตใจสงบ ให้ความทุกข์ได้ผ่านพ้นไป หวังให้แต่สิ่งที่ดีมีความสุขได้เข้ามาสู่ชีวิตตนเอง การตั้งใจไว้ในสิ่งที่ชอบ ในสิ่งที่มั่นคง...คนที่เสียสมาธิแล้วย่อมมีความผิดพลาดในการดำรงชีวิต ขาดความมั่นคงขาดจุดยืนจนกลายเป็น “เสาหลักปักขี้เลน” ไป

“มรรคมีองค์แปด” คือหนทางที่นำไปสู่ความสุขความเจริญความสำเร็จในชีวิต ยังมีความสำคัญและจำเป็นในทุกยุคสมัย...เป็นสัจธรรมที่ทันทุกยุคทุกกาลจริงแท้แน่นอน.