วันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมาเมื่อวานนี้ นอกจากจะเป็นวันสงกรานต์แล้ว รัฐบาลไทยยังกำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ด้วย ...เริ่มตั้งแต่รัฐบาล “ป๋าเปรม” เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันสืบเนื่องมาจากสหประชาชาติได้จัดให้มีการประชุมใหญ่เรื่องผู้สูงอายุเมื่อปี 2525 และมีมติให้ปีดังกล่าวเป็นปีรณรงค์เพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ โดยมอบหมายให้ประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศไทยรับไปดำเนินการจากวันนั้นถึงวันนี้ 2525 ถึง 2564 เป็นเวลา 39 ปีเต็มๆ รัฐบาลไทยและคนไทยต่างก็ให้ทั้งความรักความเคารพและการพิทักษ์ดูแลผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไปตามคำจำกัดความของสหประชาชาติ) มาด้วยดีพอสมควร ทำให้ผู้สูงอายุไทยมีอนามัยดีขึ้นและอายุยืนมากขึ้นในขณะที่การวางแผนครอบครัวที่ประเทศไทยดำเนินการควบคู่ไปด้วย ก็ประสบผลสำเร็จอย่างดีเช่นกัน ทำให้อัตราเกิดของประเทศไทย เริ่มลดลงลดลง...จนเป็นผลให้โครงสร้างประชากรไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวงจากคำพูดที่เคยพูดกันว่าคนไทยเกิดเยอะเหลือเกิน ลูกเด็กเล็กแดงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด จะดูแลเด็กๆกันอย่างไร จะต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลแค่ไหนในการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กๆเหล่านี้?กลายเป็น...คนไทยเกิดน้อยมาก เกิดน้อยลงทุกปี เพราะคนไทย ไม่ค่อยแต่งงาน แต่งแล้วก็ไม่ยอมมีลูก...ทำไงดีล่ะ เรามีเด็กๆน้อยเกินไปแล้ว มีแต่คนแก่หรือผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น?เราเตือนกันมา 14-15 ปีได้แล้วกระมัง (ประมาณปี 2548-2549)ว่า สังคมไทยกำลังเข้าสู่สถานภาพของการเป็น “สังคมผู้สูงอายุ” ทุกขณะ และจะกลายเป็น “สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ” คือมีประชากรสูงอายุร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศในปี 2564 หรือปีนี้นั่นเองเมื่อช่วงส่งท้ายปีเก่า 2563 ต้อนรับปีใหม่ 2564 นั้น ได้เกิดการระบาดระลอก 2 ของโควิด-19 ขึ้นพอดี โดยเริ่มจากสมุทรสาคร แล้วแพร่สะพัดไปหลายจังหวัด ดังที่ทราบกันอยู่แล้วทำให้เราพูดกันถึงแต่เรื่องโควิด-โควิด เสียจนลืมไปว่าปี 2564 ซึ่งจะเป็นปีที่เราก้าวย่างเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ” หรือ “โดยสมบูรณ์” นั้นกำลังจะคืบคลานมาถึงแล้วผมเองตอนเขียนสวัสดีปีใหม่ก็ลืมสนิทเช่นกัน ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้เลย...จนกระทั่งเมื่อวานนี้เอง ก่อนจะเขียนต้นฉบับเกี่ยวกับ “วันผู้สูงอายุ” เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ จึงเข้ากูเกิลเพื่อหาข้อมูลมาประกอบ ก็เลยไปเจอทั้งข่าวและบทความหลายๆฉบับระบุไว้ชัดเจนว่า ปีนี้ 2564 นี่แหละครับ จะเป็นปีที่ไทยแลนด์ของเราก้าวเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์” หรือที่เรียกว่า Complete Aged Society ในภาษาอังกฤษรวมทั้งจะก้าวเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” หรือ Super Aged Society ซึ่งจะมีประชากรสูงอายุ ร้อยละ 30 ของประเทศ ในปี 2578 หรืออีก 14 ปีนับจากนี้เป็นต้นไปจากสังคม “แก่ธรรมดาๆ” หรือ “แก่เฉยๆ” เป็นสังคม “แก่มากๆ” หรือ “ซุปเปอร์แก่” ว่างั้นเถอะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” นั้น จะเป็นปัญหาสำคัญของการพัฒนาประเทศในอนาคต เพราะรัฐบาลมีภาระจะต้องดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศก็จะลดลงเมื่อประชากรในวัยทำงานลดลงไปดังนั้น เนื่องใน “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ปีนี้ ผมจึงใคร่ขอนำประเด็น อันสำคัญยิ่งประเด็นนี้มาฝาก ทั้งรัฐบาล และท่านผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งหนึ่งจะทำอะไรจากนี้ไป ก็ขอให้ใช้ “สติ” ใช้ “ปัญญา” และความ “สุขุมรอบคอบ” กันให้มากๆนะครับ...อย่า “ใจร้อน” หรือ อย่า “หัวร้อน” เป็นเด็ดขาดอย่าลืมว่าเราเป็น “สังคมคนแก่เต็มตัว” แล้ว ไม่ใช่ “สังคมวัยรุ่น” อย่างในอดีตที่เคยเป็นกันมา...แถมอีก 14-15 ปี ก็จะเป็นสังคมคนแก่แบบ “สุดยอด” หรือ “ซุปเปอร์แก่” กันแล้ว...แป๊บเดียวนะครับทำเป็นเล่นไป.“ซูม”