จีนประกาศใช้มาตรการเข้มข้นเยี่ยงในภาวะสงคราม “เคาะประตูบ้านวัดไข้รายตัว” เพื่อสกัดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 หลังยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่กลับมาพุ่ง ยอดเสียชีวิตวันเดียวกว่า 80 ราย ใกล้ทำลายสถิติยอดตายจากโรคซาร์ส หนำซ้ำ “ชาวอเมริกัน-ญี่ปุ่น” ป่วยตายในจีน ขณะที่ในไทยพบผู้ป่วยเพิ่ม 7 ราย เป็นคนจีน 4 ไทย 3 โดยเป็น 1 ใน 138 รายที่กลับจากอู่ฮั่น แพทย์ย้ำคนป่วยใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ลดแพร่กระจายเชื้อได้ ส่วนกระทรวงพาณิชย์เตรียมขายหน้ากากอนามัยทั่วประเทศ 5 แสนชิ้นผ่านร้านธงฟ้า ดีเดย์ 11 ก.พ.นี้
ยิ่งนานวันสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ยิ่งอันตราย โดยเมื่อวันที่ 8 ก.พ. สำนักข่าวต่างประเทศสรุปยอดผู้เสียชีวิตในประเทศจีน เพิ่มขึ้นวันเดียวเกือบร้อยศพ จนยอดพุ่งจากวันก่อนไป 700 กว่าราย
ใกล้ทุบสถิติยอดตายจากโรคซาร์ส
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีน แถลงยอดผู้เสียชีวิตในประเทศได้เพิ่มเป็น 722 ศพ ขยับจากวันก่อน 86 ศพ ถือว่ายังคงทำลายสถิติยอดผู้เสียชีวิตชนิดวันต่อวัน และใกล้ทำลายสถิติยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง หรือโรคซาร์ส ที่มีผู้เสียชีวิต 774 ศพ ระหว่างการแพร่ระบาดในช่วงปี 2545-2546 ขณะที่ยอดการพบผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันอยู่ที่ 34,546 คน เพิ่มจากวันก่อน 3,385 คน ถือเป็นยอดที่เพิ่มกลับมาอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 6 ก.พ.พบผู้ติดเชื้อแบบวันต่อวันได้เริ่มลดลงอยู่ที่ 3,143 คน

...
2 ชาวต่างชาติเสียชีวิตในจีน
ต่อมาสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงปักกิ่งของจีน ออกแถลงการณ์ว่า พบชาวอเมริกัน วัย 60 ปีในเมืองอู่ฮั่น เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระหว่างเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจินหยินตัน ในตัวเมือง ถือเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่เสียชีวิตในจีน แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงปักกิ่ง เปิดเผยว่า พบชาวญี่ปุ่นอายุประมาณ 60 ปี ในเมืองอู่ฮั่นเสียชีวิตเช่นกัน ซึ่งจากการเปิดเผยของทางการจีนระบุว่า ชายญี่ปุ่นดังกล่าว เสียชีวิตเพราะอาการปอดบวมจากการติดเชื้อไวรัส และแม้ไม่สามารถยืนยันผลตรวจสอบ แต่เชื่อว่าเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างการเปิดเผยของรัฐบาลจีนด้วยว่า มีชาวต่างชาติในจีน 17 คน อยู่ระหว่างการกักบริเวณและรักษาอาการป่วยในจีน แต่ไม่ได้ระบุสัญชาติ
เคาะประตูบ้านวัดไข้ทีละคน
นอกจากนี้ ทางการอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย จุดต้นตอการแพร่ระบาด ระบุว่าได้รับคำสั่งจากนายซุน ชุนหลาน รองนายกรัฐมนตรีจีน ให้ปฏิบัติต่อสถานการณ์ครั้งนี้เฉกเช่นภาวะสงคราม และจะไม่ยอมให้ใครหนีทัพ ซึ่งหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สของสหรัฐฯ ระบุว่าด้วยว่า เจ้าหน้าที่อู่ฉั่นจะใช้มาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดที่เข้มข้นกว่าเดิม ด้วยการออกตระเวนตามห้องพักและที่พักอาศัย เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิเป็นรายบุคคล หากพบว่าเข้าข่ายติดเชื้อ จะถูกควบคุมตัวนำไปกักบริเวณที่ศูนย์นิทรรศการ และสนามกีฬาในร่ม ที่ทางการดัดแปลงให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราว
ฮ่องกงจี้เมินกักบริเวณมีโทษคุก
ส่วนรัฐบาลฮ่องกงได้ประกาศเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ โดยมีคำสั่งให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีน กักบริเวณตัวเองอยู่ในห้องพักโรงแรม หรือศูนย์คัดกรองของรัฐบาล เป็นเวลา 14 วัน หากฝ่าฝืน มีโทษปรับหรือจำคุก ที่ยังไม่ระบุชัดเจน ส่วนพลเมืองฮ่องกงที่กลับมาจากประเทศจีน ก็มีคำสั่งให้กักบริเวณตัวเองอยู่ในที่พักอาศัยเป็นเวลา 2 สัปดาห์เช่นกัน

เชื้อระบาดได้ทางอุจจาระ
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้เผยแพร่บทความในวารสารสมาคมการแพทย์สหรัฐฯระบุว่า จากการศึกษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลเมืองอู่ฮั่นพบว่ามีผู้ป่วยประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่แสดงอาการท้องร่วงภายในเวลา 2 วันหลังจากเริ่มเป็นไข้ และต่อมาพบว่าวัตถุที่สัมผัสกับก้นของผู้ป่วยที่มีอาการท้องร่วงมีเชื้อปนเปื้อนติดอยู่ จึงมีความเป็นไปได้ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาจแพร่ระบาดได้ทางอุจจาระของผู้ป่วยเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะโรคซาร์สที่เป็นไวรัสกลุ่มเดียวกัน ก็สามารถแพร่ระบาดได้ทางปัสสาวะของผู้ป่วย
พบติดเชื้อเพิ่มทั่วโลก
วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในต่างแดนทั่วโลก โดยนอกจากประเทศไทยแล้ว พบผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่น 89 ราย สิงคโปร์ 33 ราย ฮ่องกง 26 ราย (เสียชีวิต 1 ราย) เกาหลีใต้ 24 ราย ไต้หวัน 17 ราย ออสเตรเลีย 15 ราย มาเลเซีย 15 ราย เยอรมนี 14 ราย เวียดนาม 13 ราย สหรัฐอเมริกา 12 ราย ฝรั่งเศส 11 ราย มาเก๊า 10 ราย แคนาดา 7 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7 ราย ฟิลิปปินส์ 3 ราย (เสียชีวิต 1 ราย) อินเดีย 3 ราย อิตาลี 3 ราย อังกฤษ 3 ราย รัสเซีย 2 ราย กัมพูชา ฟินแลนด์ ศรีลังกา สวีเดน เนปาล สเปน เบลเยียม อย่างละ 1 ราย ในจำนวนนี้ พบผู้ติดเชื้อเพิ่มที่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ออสเตรเลีย เยอรมนี เวียดนาม ฝรั่งเศส สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยยอดผู้ติดเชื้อไวรัสที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่นมาจากการตรวจพบผู้โดยสารบนเรือสำราญ “ไดมอนต์ ปรินเซสส์” เพิ่มอีก 3 คน ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อบนเรือเพิ่มเป็น 64 คน
อังกฤษติดเชื้อหลังกลับจากสิงคโปร์
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศสออกแถลงการณ์ว่า ได้ตรวจพบชาวอังกฤษ 5 คน ติดเชื้อในภาคตะวันออกของฝรั่งเศส ส่งผลให้ยอดการตรวจพบผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มเป็น 11 คน จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ชาวอังกฤษกลุ่มนี้ ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย ได้เดินทางไปสิงคโปร์ช่วงวันที่ 20-23 ม.ค.และเดินทางเข้าฝรั่งเศสในวันที่ 24 ม.ค. แต่อาการป่วยไม่รุนแรง

หญิงจีนติดเชื้อไม่ป่วยบินไปมิวนิก
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าใน “The NEW ENGLAND JOURNAL of MEDICINE” วารสารทางการแพทย์ ซึ่งนำเสนองานวิจัยและบทความทางการแพทย์ ได้เผยแพร่บทความผ่านทางออนไลน์ (https://www.nejm.org) เกี่ยวกับกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ มีการยกกรณีศึกษาที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยนักธุรกิจหญิงจากเซี่ยงไฮ้ไปประชุมที่มิวนิก ระหว่างวันที่ 20-21 ม.ค.2563 ระหว่างอยู่เยอรมนีไม่มีอาการ แต่มีไข้หลังกลับประเทศจีน และตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จึงแจ้งไปที่เยอรมนี ขณะเดียวกันมีชายเยอรมันได้พบกับนักธุรกิจหญิงคนดังกล่าว เมื่อวันที่ 20-21 ม.ค.2563 และหลังจากนักธุรกิจหญิงกลับไปแล้วจึงป่วยมีอาการไข้ ต้องหยุดงานระหว่างวันที่ 25-27 ม.ค.2563 จนหายป่วย กระทั่งเมื่อกลับไปทำงานแล้วถึงทราบว่านักธุรกิจหญิงป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา ดังนั้น จึงไปพบแพทย์ตรวจวันที่ 27 ม.ค.2563 ก็ยังพบเชื้อ ทั้งที่หายไข้แล้ว นอกจากนี้ ในบทความดังกล่าวยังพบว่า เพื่อนร่วมงานของชายเยอรมันอีก 3 คน ก็ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา แม้ 2 ใน 3 คนไม่เคยพบกับนักธุรกิจหญิงจากจีน พบแต่ชายเยอรมันก็ตาม
พบผู้ติดเชื้อป่วยเพิ่มอีก 7 ราย
ส่วนสถานการณ์ในไทย ที่กระทรวงสาธารณสุข เวลา 12.15 น. นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดย นพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า วันนี้ไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่ม 7 ราย ซึ่งมีทั้งที่ตรวจพบในกรุงเทพฯ และในภูมิภาค โดยเป็นคนจีน 4 ราย และคนไทย 3 ราย โดยในจำนวนนี้ 1 รายเป็นคนไทยเพศชาย อายุ 25 ปี เป็น 1 ใน 138 รายที่รับตัวกลับมาจากเมืองอู่ฮั่นและแยกเฝ้าระวังที่ฐานทัพเรือสัตหีบ ส่วนผู้ป่วยคนไทยอีก 2 ราย เป็นชายประกอบอาชีพที่ต้องติดต่อกับนักท่องเที่ยว 1 ราย และอีก 1 รายเป็นผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
ติดเชื้อสะสม 32 ราย รักษาหาย 10 คน
นพ.สุวรรณชัยกล่าวอีกว่า สำหรับผู้ป่วยคนจีน 4 รายนั้น พบว่า 3 รายเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกันกับผู้ป่วยยืนยันรายเดิม และอีก 1 ราย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงที่มาพบแพทย์ตามคำแนะนำที่ได้รับตอนเดินทางเข้าประเทศไทย ดังนั้น สรุปขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อสะสม 32 ราย รักษาหายและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านเพิ่มอีก 1 ราย รวมเป็นหายแล้ว 10 ราย เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาล 22 ราย ส่วนในรายที่มีอาการป่วยวัณโรคร่วมด้วย ขณะนี้อาการยังทรงตัวแพทย์ให้การดูแลใกล้ชิด

รวมผู้ป่วยเฝ้าระวัง 654 ราย
นพ.สุวรรณชัยกล่าวอีกว่า สำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.- 8 ก.พ.2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 654 ราย คัดกรองจากสนามบิน 49 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 605 รายอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 279 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 375 ราย โดยวันที่ 7 ก.พ. พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่ 39 ราย
1 ใน 138 ราย กลับจากอู่ฮั่นเริ่มป่วย
ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 6 กล่าวว่า ในรายที่ติดเชื้อเป็นชายไทยอายุ 25 ปี มีอาชีพเป็นไกด์ เดินทางกลับมาจากอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ผลการตรวจในวันนั้นแข็งแรงดีไม่มีอาการใดๆ แต่เมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา กลับพบว่ามีอาการน้ำมูกไหลนิดหน่อย แพทย์จึงนำตัวส่งตรวจที่โรงพยาบาลชลบุรี และเมื่อวันที่ 7 ก.พ. มีการตรวจยืนยันผลเป็นบวกคือพบเชื้อไวรัสโคโรนา จึงนำตัวเข้าห้องแยกโรคที่โรง– พยาบาลชลบุรี และจากการตรวจอุณหภูมิร่างกาย ออกซิเจนในเลือด ความดัน ปอด ทุกอย่างปกติดี ส่วนเพื่อนที่นอนร่วมห้องเดียวกันนั้น จากผลการตรวจไม่พบเชื้อ ส่วนอีก 4 รายที่มีการแยกตัวออกไปอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ตั้งแต่วันที่กลับมาจากอู่ฮั่นเพราะมีอาการไข้นั้น ผลการตรวจทั้ง 4 ราย ไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนา จึงรอผลตรวจยืนยันอีกครั้งก่อนจะอนุญาตให้กลับมาที่พักรวมกับคนไทยที่ถูกแยกตัวไว้ที่บ้านพักที่สัตหีบ
แจงเหตุไม่พบเชื้อแต่แรก
ขณะที่ รศ.พิเศษ นพ.ทวีกล่าวว่า คนที่อยู่ร่วมห้องกับผู้ป่วยชายที่กลับจากอู่ฮั่นนั้น เราจะกักตัวโดยนับจากการสัมผัสสุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยรายนี้จะแยกออกไป เช่น อยู่ 2 วันก็จะเพิ่มไปอีก 14 วัน รวมเป็น 16 วัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะพบเชื้อในผู้ป่วยรายนี้ แต่อาการน้อยมาก คือมีแค่น้ำมูกไหล ดังนั้น ขอย้ำว่าเชื้อไวรัสนั้นโดยปกติมีหลายโรคที่ติดเชื้อแล้วอาจไม่มีการแสดงอาการ เช่น ไข้หวัดใหญ่บางราย ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ ไข้เลือดออก 80 เปอร์เซ็นต์ ติดเชื้อแต่ไม่มีการแสดงอาการ ซึ่งถือเป็นธรรมชาติที่มีการปรับตัวให้คนเราสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นหนุ่มสาวสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวส่วนใหญ่กลุ่มเหล่านี้จะอาการน้อยจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยชายไทยรายนี้แยกตัวออกมาและตรวจพบเชื้อภายหลัง แต่ถือว่าเป็นระยะฟักตัวของโรคอยู่แล้ว
กระตุ้นกลุ่มเสี่ยงอย่าชะล่าใจ
รศ.พิเศษ นพ.ทวีกล่าวอีกว่า จากการที่จีนรายงานเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาว่าผู้ติดเชื้อประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ มีอาการน้อย 20 เปอร์เซ็นต์จะมีอาการปานกลาง และมี 5 เปอร์เซ็นต์มีอาการรุนแรง ดังนั้นหากไทยพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นก็มีโอกาสที่จะพบผู้ป่วยที่อาการรุนแรงได้เช่นกัน จึงอยากย้ำว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงให้มาตรวจเพราะอาการของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนานั้นมีอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ทุกอย่าง ส่วนคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงคืออาชีพคนขับรถสาธารณะและอาชีพไกด์ ส่วนการจะแพร่เชื้อได้ก็เกิดจากการไอจาม ดังนั้น คนป่วยควรใส่หน้ากากอนามัย ส่วนคนไม่ป่วยก็หมั่นล้างมือหรือใส่หน้ากากผ้าจะช่วยป้องกันได้ เช่น กรณีผู้ป่วยที่สัตหีบที่ป่วยแต่จากการตรวจเพื่อนที่นอนร่วมห้องไม่พบเชื้อเพราะมีการปฏิบัติตัวที่ดีคือ ไม่ได้ใช้ของร่วมกัน เป็นต้น แต่ยังต้องติดตามต่ออีก 14 วันเพื่อความมั่นใจ

ไทยพร้อมจับมือทั่วโลกรับมือไวรัส
วันเดียวกัน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ในนามของรัฐบาลและชาวไทยทุกคน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ขอส่งกำลังใจและความห่วงใยไปยังมิตรประเทศอาเซียน ประเทศกรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสาย–พันธุ์ใหม่ 2019 ยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เพื่อให้สถานการณ์ในทุกประเทศคลี่คลายโดยเร็ว ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับผู้นำประเทศ เช่น ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ถึงแนวทางความร่วมมือของอาเซียน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แนวทางการรักษาที่ประสบผลสำเร็จและมาตรการต่างๆผ่านช่องทางที่มีอยู่ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือประชาชนของประเทศสมาชิก เป็นต้น ฝากให้กำลังใจผู้ป่วยทุกรายให้หายเป็นปกติในเร็ววัน
โห่รับ “จุรินทร์” เปิดขายหน้ากากช้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่กระทรวงพาณิชย์ จังหวัดนนทบุรี มีการเปิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยให้กับประชาชน ราคาชิ้นละ 2.50 บาท จำกัดการซื้อไม่เกินคนละ 10 ชิ้น ปรากฏว่าประชาชนไปรอซื้อตั้งแต่เวลา 06.00 น. อย่างล้นหลาม แต่เมื่อถึงเวลาเปิดจำหน่ายในเวลา 09.00 น. ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเปิดจำหน่ายได้ เนื่องจากต้องรอนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ มาเป็นประธานเปิดงานก่อน ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจ กระทั่งเวลาประมาณ 10.00 น.นายจุรินทร์มาเปิดงานขายหน้ากาก จึงถูกประชาชนโห่ร้องด้วยความไม่พอใจ ตะโกนบอกให้เร็วๆ จนเหตุการณ์วุ่นวายเล็กน้อย
11 ก.พ. ขายที่ธงฟ้า 820 แห่ง
ทั้งนี้ นายจุรินทร์เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า นอกจากจำหน่ายที่กระทรวงพาณิชย์แล้ว ยังกระจายไปทุกอำเภอทั่วประเทศ ผ่านร้านธงฟ้าในราคาชิ้นละ 2.50 บาท ตั้งเป้า 10 ล้านชิ้นทั่วประเทศ ได้สั่งให้กรมการค้าภายในประสานกับโรงงานผู้ผลิตทั้ง 10 ราย เร่งผลิตเพื่อให้ทันความต้องการของประชาชน โดยภาครัฐจะจำหน่ายที่ทำเนียบรัฐบาลต่อเนื่องเป็นเวลา 15 วัน จำนวน 300,000 ชิ้น และแบ่งมาขายที่กระทรวงพาณิชย์ 200,000 ชิ้น ร้านธงฟ้าทั่วประเทศ 820 ร้านค้า อีก 500,000 ชิ้น เริ่มกระจายสินค้าตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.เป็นต้นไป และหลังจากนี้จะเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดหากพบจำหน่ายราคาเกินจริง ประชาชนสามารถแจ้งมาที่สายด่วน 1569 ได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้จับกุมดำเนินคดีแล้ว 11 ราย ส่วนกรณีที่องค์การเภสัชกรรมเปิดขายหน้ากากอนามัยชิ้นละ 1 บาทนั้น ต้องสอบถามต้นทุนว่าเท่าไร ซึ่งของกระทรวงพาณิชย์จำหน่ายชิ้นละ 2.50 บาท เป็นราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม สอดคล้องกับต้นทุนของผู้ประกอบการ

โพลชี้ยังมั่นใจ สธ.ไทยเอาอยู่
วันเดียวกัน กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจ เรื่อง “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 คนไทยรับมืออย่างไร” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,199 คน พบว่าเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษจากการติดตามข่าวและสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ร้อยละ 76.8 ระบุวิธีป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ รองลงมาร้อยละ 48.9 ระบุแนวทางการรักษาและควบคุมการติดเชื้อ สำหรับความวิตกกังวล ร้อยละ 42.0 ระบุ กังวลระดับปานกลาง ร้อยละ 37.4 กังวลระดับน้อยถึงน้อยที่สุด ส่วนการรับมือ ร้อยละ 70.6 ระบุรับมือโดยการสวมใส่หน้ากากอนามัยเวลาออกนอกบ้าน ร้อยละ 68.5 ระบุติดตามข่าวสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สิ่งที่รัฐบาลควรทำมากที่สุด ร้อยละ 66.7 ระบุควรให้ข้อเท็จจริงแก่ประชาชนขจัดข่าวลวงที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน ร้อยละ 54.2 ระบุควรเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์มีบทบาทในการออกมาให้ข้อมูลกับประชาชน ด้านความมั่นใจในฝีมือของทีมแพทย์และสาธารณสุขของไทยในการรับมือกับสถานการณ์ ส่วนใหญ่ร้อยละ 68.0 ระบุมั่นใจมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 26.5 ระบุมั่นใจปานกลาง มีเพียงร้อยละ 5.5 เท่านั้นที่ระบุว่ามั่นใจน้อยถึงน้อยที่สุด
กำจัดขยะป้องกันโรคระบาด
ส่วนบรรยากาศบริเวณหน้าอาคารรับรองสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ่าวดงตาล อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกองทัพเรือยืนเฝ้าดูแลทุกจุดรอบบริเวณอย่างเข้มงวด พร้อมปักป้ายแนวเชือกห้ามเข้าไปรอบบริเวณอาคารเด็ดขาด โดยมีคนไทยที่รอพักดูอาการออกมาชมวิวทะเลบริเวณระเบียงอาคารในสภาพจิตใจที่ดีขึ้น ส่วนที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์การนำคนไทยกลับบ้านกรณีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สโมสรสัญญาบัตร รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับการกำจัดขยะของผู้พักฟื้น โดยจัดให้เป็นขยะเข้าข่ายขยะติดเชื้อ มีการแพ็กบรรจุหีบห่ออย่างดี ก่อนส่งไปกำจัดที่ศูนย์กำจัดขยะ อบจ.ระยอง ด้าน นพ.ประภาส ผูกดวง รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง เผยว่า นอกจากการคุมเข้มเรื่องอาหาร อุปกรณ์สื่อสาร เสื้อผ้า หมอน และผ้าห่มแล้ว เรื่องการกำจัดขยะจากคนไทยที่พักฟื้นเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ทุกขั้นตอนต้องทำตามระบบสากล
ญาติโล่งใจ–ลูกมีสุขภาพจิตดี
ขณะที่ญาติคนไทยที่ถูกกักตัวได้เดินทางมาเยี่ยม พร้อมนำสิ่งของจำเป็นและอาหารมาฝากลูกสาว เปิดเผยว่า ครอบครัวทำอาชีพเป็นแพทย์ บุตรสาวที่พักฟื้นอยู่ก็เรียนคณะแพทย์มหาวิทยาลัยอู่ฮั่นหลายปีแล้ว ช่วงที่เป็นข่าวตอนแรกก็รู้สึกเป็นห่วงทำได้เพียงการติดต่อผ่านเครื่องมือสื่อสาร กระทั่งรัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับบุตรสาวพร้อมคนไทยอีกกว่า 100 คนกลับเมืองไทย วันนี้จึงพากันมาเยี่ยม แม้จะเข้าไปพบตัวไม่ได้ แต่จากการพูดคุยกับบุตรสาวและดูความพร้อมการดูแลของคณะแพทย์และกองทัพเรือรู้สึกประทับใจอย่างมาก ทั้งเรื่องของที่พัก อาหาร และการติดตามอาการ รู้สึกเบาใจ คาดว่าบุตรสาวจะมีสุขภาพจิตที่ดี
งดนำของกินฝาก–กันติดเชื้อ
ด้านพลเรือตรีพิชัย ล้อชูสกุล ผู้อำนวยการสำนักกิจการพลเรือน กรมกิจการพลเรือทหารเรือ กล่าวว่า ได้รับคำสั่งตรงจาก ผบ.ทร.ให้ดูแลผู้พักฟื้นทุกคนอย่างดีเปรียบเสมือนญาติมิตรทั้ง 138 ราย ในระยะของการพักฟื้นที่ในพื้นที่กองทัพเรือเป็นเวลา 14 วัน หลังครบกำหนดวันที่ 19 ก.พ.จะจัดรถเพื่อนำคนไทยทั้งหมดเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา ส่วนในระหว่างพักฟื้นญาติสามารถเดินทางมาติดต่อเพื่อขอพูดคุยสนทนาผ่านทางวิดีโอคอล กองทัพเรือพร้อมให้การดูแลอย่างเต็มที่ แต่อาจมีข้อจำกัดบ้างในเรื่องของอาหารการกินที่นำมาฝากไว้กับญาติที่คงต้องงดไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวเพื่อป้องกันปัญหาการติดเชื้อเท่านั้น
ไวรัสมรณะกระทบเกาะช้าง
น.ส.จารุวรรณ จินตกานนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตราด เปิดเผยว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนต้องยกเลิกเที่ยวบินโดยเฉพาะเที่ยวบินตรงจากเมืองอู่ฮั่นมายังประเทศไทย ที่เห็นชัดเจนในปัจจุบันตามแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ จ.ตราด อย่างเกาะช้าง-เกาะหมาก-เกาะกูด พบข้อมูลว่าขณะนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มชาวจีนยกเลิกการจองห้องพักโรงแรม-รีสอร์ตไปแล้วคิดเป็น 15-20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากส่วนที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาได้ คาดการณ์ว่าในเดือน มี.ค.แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.ตราดจะเงียบเหงาอย่างแน่นอน คงต้องฝากความหวังไว้กับรัฐบาลและหน่วยงานส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งมีมาตรการเรียกความเชื่อมั่นดึงนักท่องเที่ยวกลับมา