คดีฮั้วเลือกตั้ง สว.กำลังเดินหน้าเต็มสตีมไม่ว่าใครกับใครจะแอบเจรจาเกี้ยเซี้ยะอย่างไร...คดีฮั้วเลือกตั้ง สว.ต้องลุยต่อจนสุดทาง!!เพราะหลักฐานการฮั้วมันเต็มบ่อยิ่งกว่าปลาหมอคางดำทำให้ กกต.ต้องเรียก สว.ไปรับทราบข้อหาฮั้วเลือกตั้งแล้ว 4 ลอตมี สว.เจอคดีฮั้วเลือกตั้งไปแล้วกว่า 100 คนสัปดาห์หน้า กกต.จะเรียก สว.ลอต 5 และลอต 6 ไปรับแจ้งข้อหาฮั้วเลือกตั้งอีกหลายสิบคนเท่ากับ สว.ชุดนี้เจอคดีฮั้วเลือกตั้งไปแล้วเกินครึ่งสภา!!“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า โดยสามัญ สำนึก โดยมาตรฐานจริยธรรม บรรดา สว.ที่ถูก กกต.แจ้งข้อหาฮั้วเลือกตั้งเป็นชนักปักหลังกว่าร้อยคนถือเป็นผู้มีมลทินติดตัวควรหยุดปฏิบัติหน้าที่ สว.ชั่วคราวจนกว่าข้อหาฮั้วเลือกตั้งจะได้ ข้อยุติอย่างชัดเจนการตีหน้ามึนไม่ยอมหยุดปฏิบัติหน้าที่ สว.จะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์วุฒิสภาติดลบหนักกว่าเดิม“แม่ลูกจันทร์” ไม่เห็นด้วยที่ ประธานวุฒิสภา (ซึ่งโดน กกต.แจ้ง ข้อหาฮั้วเลือกตั้งเช่นกัน) จะรีบร้อนนัด ประชุมด่วนวุฒิสภาในวันนี้ (30 พ.ค.)เพื่อลงมติตั้งกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ 3 คนเพื่อตรวจสอบประวัติผู้ได้รับการสรรหาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน ผู้ผ่านการสรรหา เป็น กกต. 1 คนและผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นอัยการ สูงสุดคนใหม่อีก 1 คนถามว่าทำไม สว.ชุดนี้ควรชะลอการลงมติตั้ง ป.ป.ช. กกต. และอัยการสูงสุดไว้ก่อนชั่วคราว?ตอบว่า เพราะ ป.ป.ช. กกต. อัยการสูงสุด เป็นผู้มีอำนาจให้คุณให้โทษสมาชิกวุฒิสภาและมีอำนาจตรวจสอบคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.การรีบเรียกประชุมวุฒิสภาโหวตเห็นชอบองค์กรอิสระในขณะที่ สว.มีข้อหาฮั้วเลือกตั้งเกินครึ่งสภาจะถูกมองว่า สว.เร่งรีบแต่งตั้ง ป.ป.ช. กกต. อัยการสูงสุด เพื่อให้ มาตัดสินคดีความผิดฮั้วเลือกตั้งของตัวเองตัวอย่างเช่น ป.ป.ช. ต้องรับคดี ฟอกเงินจากดีเอสไออัยการสูงสุด ต้องยื่นฟ้องคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.ต่อศาลฎีกา แผนกคดี อาญาการเมืองกกต.มีอำนาจหน้าที่สอบสวนคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.โดยตรง“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า วุฒิสภาไม่ควรดันทุรังโหวตเห็นชอบกรรมการ องค์กรอิสระในขณะที่คดีฮั้วเลือกตั้งยังคาราคาซัง!!ควรรอให้คดีฮั้วเลือกตั้งเคลียร์เสียก่อนค่อยนัดประชุมวุฒิสภา เพื่อลงมติ เห็นชอบองค์กรอิสระ ก็ยังไม่สายเกินเพลเพราะทองแท้...ย่อมไม่แพ้ไฟถ้า สว.ส่วนใหญ่มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฮั้วเลือกตั้งตามข้อหา กกต.และดีเอสไอก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลงมติแต่งตั้ง กรรมการองค์กรอิสระให้ทุลักทุเลนี่เตือนแล้วนะ...ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ.แม่ลูกจันทร์คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม