อยู่ในมุมอับมานานก็ต้องหาช่องทางเพื่อที่จะได้โผล่ขึ้นมาหายใจ ทำให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ในเวทีที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน

การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวก็เลยเป็นจังหวะเหมาะที่จะต้องเปิดปฏิบัติการ

เพื่อชูธงพลังประชารัฐให้ผงาดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

มิฉะนั้นอาจสูญพันธุ์ได้โดยเฉพาะที่มีการมองกันว่า 4 พรรคอาจจะตีจาก เนื่องจากมีมือดีศัตรูหัวใจที่เคยทำแสบเอาไว้

หวังสอย สส.ลูกพรรคให้ย้ายสังกัดไปสร้างความเติบใหญ่ให้กับพรรคการเมืองใหม่

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพียงคนเดียวที่จะอภิปรายในครั้งนี้ด้วย

เริ่มจากการเปิดตัวผู้สมัคร สส.ภาคอีสาน 13 คนของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วก็ประกาศจะขึ้นอภิปรายด้วย

ในความเป็น “เสือเก่า” ที่บารมีแก่กล้า 1 ใน 3 ป. แห่งบูรพาพยัคฆ์ที่อีก 2 คนได้หลุดไปจากวงการเมืองแล้ว

แต่ “พี่ใหญ่” คนนี้ยังอยู่ยงคงกระพันต่อไป!

แม้จะผิดหวังพลาดหวังแถมถูก “ลูกน้องเก่า” หักหลังทำเอาไว้ แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินเส้นทางนี้ต่อไป

แน่นอนว่าศึกซักฟอกครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐเป็นเพียงส่วนหนึ่งของฝ่ายค้าน เพราะมีเสียงไม่มากนัก แต่ชื่อ “บิ๊กป้อม” ก็ยังพอขายได้ในตลาดการเมือง

แม้ พล.อ.ประวิตรอยู่ในหมู่ผู้สูงวัย สุขภาพไม่ค่อยดีนัก และไม่เคยอภิปรายในสภาให้ปรากฏ นอกจากเคยตอบชี้แจงไปครั้งหนึ่ง ใช้เวลาเพียงแค่ 2 วินาทีก็ตาม

แต่ด้วยความเก๋าและมีข้อมูลมากย่อมทำให้ฝ่ายรัฐบาลหวั่นใจพอสมควร

“บิ๊กป้อม” คงจะอภิปรายในภาพรวมและใช้เวลาไม่มากนัก แต่ประเด็นสำคัญก็คือข้อมูลในมือไม่ว่าจะเป็นประเด็นเอ็มโอยู 44 สนามกอล์ฟอัลไพน์ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

...

น่าจะมีทีเด็ดอะไรบ้างแหละ...ดูแคลนไม่ได้!

การที่ พล.อ.ประวิตรฮึดสู้ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการรักษาเครดิตทางการเมืองของตัวเองและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกพรรคว่า หัวหน้ายังมีพลังอยู่แล้ว

เป้าหมายสำคัญก็คือ การได้ชำระแค้น “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เล่นงานเขาให้เจ็บปวดหัวใจ ซึ่งจะต้องเอาคืนให้ได้

แค้นนี้ 10 ปีก็มิลืม!

ประเด็นก็คือข้อมูลที่อยู่ในมือนั้นเด็ดแค่ไหน เพราะลูกพรรคและบรรดาแกนนำต่างก็มีความมั่นใจว่าจะทำให้ “พ่อ-ลูก” ต้องมีปัญหาแน่

แม้จะไม่สามารถคว่ำกลางสภาได้ แต่ก็จะสร้างความเสื่อมทางความเชื่อถือทางสังคมได้ พูดง่ายๆคือ ทำให้ประชาชนได้รู้

ความจริงที่ชัดเจนขึ้น

เพราะข้อมูลแนวนี้คนรุ่นใหม่อย่างพรรคประชาชนคงเข้าไม่ถึง และไม่กล้าที่จะอภิปรายโจมตีได้ จึงต้องอาศัยมือที่เก๋ากว่าปฏิบัติการ

แต่ก็จะได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย

แม้ 2 พรรคนี้จะเป็นปลาคนละน้ำ แต่เมื่อต้องมาทำหน้าที่ร่วมกัน ระยะหลังดูเหมือนจะกลมกลืนสอดรับกันได้ดีขึ้น

คือแยกกันเดินรุมกันตีเป้าเดียวกัน

ก็ต้องดูว่าวันนั้น “บิ๊กป้อม” จะงัดข้อมูลเด็ดๆขึ้นมากระหน่ำตีได้เข้าเป้าแค่ไหน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย

เว้นแต่ไม่มีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนัง

อนาคตของพลังประชารัฐก็จะหมดลมหายใจได้เช่นกัน!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม