“บุญทรง” สุดโทรม รายงานตัว สนง.คุมประพฤติเชียงใหม่ “ลูกชาย” ประกบติด เปิดเงื่อนไขต้องมาตามนัดทุกเดือน เป็นเวลา 1 ปี พ้น 1 ปีไปแล้วอาจเลื่อนเป็น 2 เดือนครั้ง ห้ามออกนอกพื้นที่ ยันสภาพจิตใจดีมีความสุขขึ้น “วัชระ” แฉ “เสี่ยเปี๋ยง” พ้นคุกแล้ว บี้ “นายกฯ-ทวี” แจงบังคับคดีจ่ายค่าปรับครบตามศาลหรือยัง รมว.ยุติธรรมแย้มระเบียบขังนอกคุกใช้ทันก่อนสิ้นปี 67 กมธ.ที่ดินลุยสอบ “ไร่ภูนับดาว” “รองเต่า” เผยมีข้อมูลเส้นเงินพันล้าน ข้องใจสำนวนตกไปอยู่ ป.ป.ช.ได้ไง รับอยากดึงกลับมาที่ บก.ปปป. ชี้เป็นการรวมหัวกันทุจริตของ ขรก.-นายทุน กมธ.ประชามติ สรุปใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น “นิกร” ฟันธงถูกแช่แข็ง 180 วัน “ทักษิณ” ร่วมฟังวิสัยทัศน์ “AI Vision for Thailand” จาก “เจนเซ่น หวง” ยักษ์ใหญ่ AI ระดับโลก

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ เข้ารายงานตัวและรับทราบเงื่อนไขการควบคุมความประพฤติต่อสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดเชียงใหม่ หลังได้รับการพักโทษ โดยต้องมารายงานตัวตามนัดทุก 1 เดือน เป็นเวลา 1 ปี หลังพ้น 1 ปีไปแล้วอาจเลื่อนเป็น 2 เดือนครั้ง ห้ามออกจากพื้นที่เชียงใหม่ก่อนได้รับอนุญาต

“บุญทรง” รายงานตัวคุมประพฤติ

เมื่อเวลา 08.35 น. วันที่ 4 ธ.ค.ที่สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ พร้อมนายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ บุตรชาย เข้ารายงานตัวและรับทราบเงื่อนไขการควบคุมความประพฤติ หลังได้รับการพักโทษถูกปล่อยตัวจากกรมราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. โดยนายบุญทรงสวมหน้ากากอนามัยสีเขียว แว่นตาสีดำปกปิดใบหน้าและผมสีดอกเลาทั้งหัว เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัว มีการ์ดส่วนตัวดูแลความปลอดภัย และคอยกันผู้สื่อข่าวไม่ให้เข้าใกล้ ขณะที่นายเดชนัฐวิทย์เป็นผู้กรอกเอกสารแทนบิดา ใช้เวลากรอกประมาณ 5 นาที จากนั้นเดินขึ้นไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่บริเวณชั้น 2 ต่อมาเวลา 09.00 น. เดินลงมาเตรียมขึ้นรถฮอนด้า ซีอาร์วี สีขาว ทะเบียน กต 999 เชียงใหม่ เพื่อออกทางด้านหลังสำนักงานคุมประพฤติ โดยมีลูกชายคอยดูแลตลอดเวลา

...

ลูกชายพาทำบัตรประชาชนใหม่

ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายบุญทรงว่า เชียงใหม่อากาศดีไหม นายบุญทรงได้แต่พยักหน้า เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าต่อจากนี้มีแพลนอะไร จะไปวัดหรือไม่ นายบุญทรงไม่ตอบและเดินขึ้นรถไป ขณะที่นายเดชนัฐวิทย์หันมาพูดคุยกับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ แต่หลังจากนี้จะพาคุณพ่อไปทำบัตรประชาชนที่ว่าการอำเภอเมือง ขอความเป็นส่วนตัวไม่ให้ผู้สื่อข่าวตาม หลังจากนั้นจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน

ต้องมาตามนัดทุกเดือนในปีแรก

นายเดชนัฐวิทย์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมทางโทรศัพท์ว่า เจ้าหน้าที่สำนักงานคุมประพฤติแจ้งว่าเงื่อนไขการคุมประพฤติ จากนี้ต้องมารายงานตัวตามนัดทุก 1 เดือน เป็นเวลา 1 ปี และหลังจากพ้น 1 ปีไปแล้ว อาจมีการพิจารณาเลื่อนการรายงานตัว เป็น 2 เดือนครั้ง นอกจากนี้เงื่อนไขการคุมประพฤติ มีข้อห้ามออกนอกจังหวัดเชียงใหม่ แต่กรณีที่นายบุญทรงต้องไปรักษาตัวกับคุณหมอประจำตัว ที่รักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ที่โรงพยาบาลตำรวจ ใน กทม. ต้องแจ้งก่อนเดินทาง 7 วัน สำหรับสภาพจิตใจนายบุญทรงโดยรวมดี ดูมีความสุขขึ้น และยังไม่ให้ใครเข้าพบ ต้องขอเวลาให้ปรับตัวอีกสักระยะ จึงขอความเป็นส่วนตัว ขณะที่นายบุญทรงมีความต้องการอยากบวช เพื่อหาความสงบทางจิตใจหลังต้องโทษอยู่ในเรือนจำมาหลายปี แต่คงต้องรอให้พ้นโทษก่อน

“วัชระ” ยื่นสอบ “เสี่ยเปี๋ยง” พ้นคุกแล้ว

ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์รัฐบาล ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่าน น.ส.สุวีรยา ทองพิทักษ์ ผอ.ส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชน ขอให้ตรวจสอบกรณีนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาสั่งจำคุก 48 ปี นายวัชระกล่าวว่า ขอถามข้อเท็จจริงจากนายกฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ดังนี้ 1.คณะอนุกรรมการการพักโทษ กระทรวงยุติธรรม ได้ปล่อยตัวนายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง ไปเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2567 จริงหรือไม่ เพราะเหตุใด เป็นการขัดแย้งกับข่าวที่รายงานว่า นายอภิชาติยังอยู่ในเรือนจำหรือไม่ ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็น รมว.ยุติธรรม ในรัฐบาล น.ส.แพทองธารด้วยเหตุผลใด

บี้จ่ายค่าปรับครบตามศาลหรือยัง

นายวัชระกล่าวต่อว่า 2.นายอภิชาติร่วมกับจำเลยอื่น ได้มีการชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งให้กับรัฐ จํานวน 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้วหรือไม่ก่อนการปล่อยตัวไป และการปล่อยตัวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ในขณะที่ถูกจำคุกที่เรือนจำกลางคลองเปรม ได้ไปนอนพักที่โรงพยาบาลพระราม 9 และโรงพยาบาลตำรวจจริงหรือไม่ 3.เหตุใดกรมราชทัณฑ์จึงปกปิด ไม่แถลงข่าวคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน เพราะเป็นคดีที่สร้างความเสียหายกับเงินงบประมาณประเทศชาติอย่างร้ายแรง 4.หากพบการกระทำความผิด หรือเอื้อประโยชน์ ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อลงโทษข้าราชการที่เกี่ยวข้องต่อไปภายใน 15 วัน

ขังนอกคุกคาดได้ใช้ทันสิ้นปี 67

ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการออกหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 กรณีมีการตั้งคำถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายก รัฐมนตรี ใกล้เดินทางกลับประเทศไทยว่า ระเบียบดังกล่าวอยู่ในกฎหมายราชทัณฑ์ ทราบว่ายังไม่มีการนำมาใช้ เพราะต้องออกหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบ กำหนดคุณสมบัติ และต้องเปิดกว้างให้ประชาชนรับรู้ ทำประชาพิจารณ์ ก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ตามหลักกฎหมายหากโทษรุนแรงต้องอยู่ในเรือนจำ ส่วนเมื่อใกล้ครบกำหนดหรือโทษน้อยลง หรือเป็นนักโทษชั้นดี ได้ฝึกอาชีพ ต้องเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย เพราะเรือนจำมีไว้ออกไม่ใช่เข้าอย่างเดียว สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้สูงอายุที่ไม่ก่อเหตุร้ายซ้ำ ซึ่งเรือนจำจะต้องพิจารณาออกกฎเกณฑ์ คาดว่าน่าจะทันใช้สิ้นปี 2567 จะได้เห็นผู้ต้องขังลอตแรกทดลองใช้ระเบียบฉบับนี้ แต่ต้องรอประกาศราชกิจจานุเบกษาก่อน

กมธ.ที่ดินลุยสอบ “ไร่ภูนับดาว”

ที่รัฐสภา นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวหลังการประชุม กมธ.ที่ดินฯว่า ที่ประชุมมีมติให้ลงพื้นที่ตรวจสอบรีสอร์ตไร่ภูนับดาว จ.สระบุรี พร้อมเชิญตัวแทนกรมป่าไม้ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ส่วนกลาง ร่วมลงพื้นที่ในวันที่ 13 ธ.ค. เพื่อสอบข้อเท็จจริงการใช้เอกสารสิทธิ ส.ป.ก. ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้จะมีประเด็นเรื่องหวานใจบิ๊กการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่ประเด็นการเมือง แค่ตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะการแจกที่ดิน ส.ป.ก. และใช้สิทธิของผู้ที่ได้รับที่ดิน กมธ.ประเมินว่ายังมีที่ดินอีกหลายแสนไร่ที่มีปัญหาในเรื่องเอกสารสิทธิ ขณะที่ประชาชนถูกริดลอนหลังการประกาศเขตป่าสงวนฯ การแจกจ่ายสิทธิที่อาจให้กับคนที่ไม่มีคุณสมบัติ ถ่ายโอนให้บุคคลอื่นต่อที่ไม่ใช่ทายาทตามกฎหมาย หรือประกอบกิจการที่ไม่ได้รับอนุญาต

“รองเต่า” เผยมีข้อมูลเส้นเงินพัน ล.

ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดีรุกที่ ส.ป.ก. จ.สระบุรี ที่มีเส้นทางการเงินไปเชื่อมโยงถึง “นางสาว ช” หวานใจบิ๊กการเมืองว่า เท่าที่ทราบข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ พบเส้นเงินดังกล่าวมีมูลค่าถึงเกือบ 1 พันล้านบาทจริง เป็นเงินหมุนเวียนผ่านบัญชี และเชื่อว่าน่าจะเป็นข้อมูลจากแหล่งข่าวเดียวกันกับนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ หรือ “หมาแก่” พิธีกร ข่าวชื่อดัง แต่ต้องตรวจสอบก่อนว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ต้องให้ความเป็นธรรม เรื่องนี้ต้องสืบสวนตามขั้นตอน ตำรวจต้องเดินตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นต้องรอให้ข้อมูลใต้โต๊ะมาเป็นหลักฐานที่อยู่บนโต๊ะก่อนถึงจะสืบสวนต่อได้ ยอมรับว่า บก.ปปป.อยากนำเรื่องนี้กลับมาทำ ก่อนหน้านี้คณะทำงานคดีนี้อยากให้ บก.ปปป.ทำ แต่เพิ่งมาทราบว่าหลังผ่านไป 4-5 เดือน สำนวนไปอยู่ที่ ป.ป.ช.โดยไม่ทราบเหตุผล

เป็นการรวมหัวทุจริต ขรก.–นายทุน

พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวต่อว่า ไม่ได้บอกว่าใครทำได้ดีกว่าใคร แต่หาก บก.ปปป.ได้ทำเรื่องนี้ จะเอาเส้นเงินมาตรวจสอบโดยละเอียดว่าแตกแขนงไปอย่างไรบ้างเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง หากสำนวนกลับมาที่ บก.ปปป.จะมีอำนาจเต็มที่ สามารถออกหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบปากคำได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องการทุจริตของข้าราชการกับนายทุน บก.ปปป.เคยทำคดีบุกรุกที่ดิน ส.ป.ก. ที่ จ.นครราชสีมา แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกัน มีแผนประทุษกรรมคล้ายกัน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ ป.ป.ช.ว่าจะมอบหมายให้ใครเป็นผู้ทำคดี หากได้ทำคดีนี้ก็ไม่ลำบากใจที่ต้องดำเนินคดีกับบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะพูดตั้งแต่แรกที่เข้าตรวจค้นบริษัทภูนับดาวแล้วว่า ถ้าพบความผิดให้ดำเนินการเลย เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ส่วนกรณีบริษัทศรีสวัสดิ์ชี้แจงว่าเงินที่โอนไปทีละเกือบ 2 ล้านบาทหลายครั้ง รวมเป็นยอด 10 ล้านบาทก่อนหน้านี้ เป็นเงินที่ชำระเงินต้นหุ้นกู้นั้นบริษัทมีสิทธิที่จะชี้แจง แต่ไม่ใช่พูดแล้วจบ ต้องมีการตรวจสอบพยานหลักฐานข้อเท็จจริงด้วย

กมธ.ร่วมฯสรุปใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น

ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 13.50 น. นายนิกร จำนง เลขานุการกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ แถลงว่าที่ประชุมกมธ.นัดสุดท้าย สรุปรายงาน กมธ.เห็นชอบร่างของวุฒิสภาที่ให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ คือ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียง และมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. ประธาน กมธ. ลงนามเสนอไปยังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในวันที่ 4 ธ.ค. เบื้องต้นทราบว่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาในวันที่ 17 ธ.ค. และนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 18 ธ.ค. หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับความเห็นของทั้ง 2 สภา เชื่อว่า สส.และ สว.จะยืนยันจุดยืนตัวเอง ส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ จะถูกแขวน 180 วัน จากนั้นหาก สส.ยังยืนยันในหลักการของตัวเองจึงประกาศบังคับใช้ได้

แก้ รธน.ทั้งฉบับซอยตันไม่ทัน รบ.

เมื่อถามว่าการพักร่างกฎหมาย 180 วันจะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ทันในรัฐบาลนี้หรือไม่ นายนิกรตอบว่า หากแก้ทั้งฉบับไม่ทันสภาฯชุดนี้แน่ นอกจากต้องรอ 180 วันแล้วต้องรอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องอีก 1 เดือน จึงจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ขณะที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีต้องเชิญ กกต.และสำนักงบประมาณมาหารือจะใช้งบประมาณทำประชามติเท่าใด เพื่อส่งให้ ครม.ลงมติ รวมแล้วใช้เวลาเกือบปี คาดว่าจะทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญได้ช่วงปลายเดือน ธ.ค.2568 ถึงต้นเดือน ม.ค.2569 จึงได้แก้รัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 ดังนั้น ไม่น่ามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันรัฐบาลชุดนี้ อย่างไรก็ตามอยากให้รัฐบาลมีร่างหลักในการแก้รัฐธรรมนูญในนามพรรคร่วมรัฐบาล ให้ทุกอย่างเป็นไปในทางเดียวกัน

สว.น้ำเงินกั๊กแก้ ม.256 ตั้ง ส.ส.ร.

นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. โฆษก กมธ. กล่าวว่า สว.ไม่ได้เหนื่อยฟรีในการแก้ไขกฎหมายประชามติ ต่างคนต่างเคารพความเห็นกัน หากแก้ไม่ทันก็ต้องมาพิจารณาแก้รายมาตรา สว.ไม่ได้ยึดหลักเสียงข้างมาก 2 ชั้นทั้งหมด หากจะแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราต้องดูจะแก้เรื่องใด ประชาชนมีส่วนร่วมมากแค่ไหน กรณีแก้มาตรา 256 สว.ยังไม่มีความเห็น แต่ สว.ไม่มีธงพร้อมรับฟังความคิดเห็น

นายกฤช เอื้อวงศ์ โฆษก กมธ. กล่าวว่า หากทำประชามติ 3 ครั้ง เคยประมาณคร่าวๆต้องใช้เวลา 2 ปี จะพ้นระยะเวลาสภาฯชุดนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดช่วงเวลานี้จะมี ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่หากทำประชามติ 2 ครั้ง เวลาจะสั้นลงอย่างน้อย 180 วัน อาจทันอายุสภาชุดนี้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้คำตอบสุดท้ายว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง ส่วนการเสนอแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 ต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วย หากไม่ได้รับความเห็นชอบจะไปสู่ทางตัน

สว.พันธุ์ใหม่ชูจุดยืนข้างมากชั้นเดียว

น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ แถลงจุดยืนต่อร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติว่า ไม่ว่ามติของ กมธ.ร่วมฯจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ที่เป็นเสียงข้างน้อยมีจุดยืนให้ใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียวในการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เพราะทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ ตอบสนองเจตจำนงประชาชนได้ ไม่ควรใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น การทำประชามติควรเป็นเจตนาประชาชนเช่นเดียวกับการออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หากไปกำหนดการเลือกตั้งทุกครั้งต้องเป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น อาจไม่ได้ตามเจตนารมณ์ประชาชน เพราะคนที่ไม่สามารถออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง อาจมีเหตุผลมากมายที่ไม่ออกมา

นายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ กล่าวว่า การทำประชามติด้วยหลักเสียงข้างมาก 2 ชั้นในต่างประเทศ ทำให้ผลการทำประชามติบิดเบือน ส่งผลให้ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ประชามติผ่าน จะรณรงค์ให้ประชาชนมาใช้สิทธิน้อยที่สุด อาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ประชาชน ต่างประเทศพยายามล้มการใช้หลักเสียงข้างมาก 2 ชั้น ไม่จำเป็นที่ไทยต้องยึดตาม

“ขิง” ยันนายกฯห่วง ปชช.ทุกภาค

วันเดียวกัน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณาต่อตัวนายกฯยังไม่ได้ลงพื้นที่ไปดูน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ว่า การทำงานต้องทำด้วยความเข้าใจ นายกฯเป็นห่วงประชาชนทุกที่ แต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาตรงกับการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.เชียงใหม่-เชียงราย ไปฟื้นธุรกิจและสร้างความเชื่อมั่นภาคท่องเที่ยว ขณะที่ภาคใต้นายกฯได้ส่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ลงพื้นที่แล้ว

โต้ฮั้ว ภท.ส่ง “ถาวร” ลงแข่ง ปชป.

นายเอกนัฏยังกล่าวถึงกระแสข่าว รทสช.จับมือพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ส่งนายถาวร เสนเนียม สมาชิกพรรค รทสช. ชิงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา แข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่มีจับมือพรรคไหนสู้กับพรรคไหน เคยพูดแล้วว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นให้ประชาชนแต่ละพื้นที่เป็นคนเลือก การแข่งขันท้องถิ่นกับประเทศไม่เหมือนกัน ในระดับประเทศมีสังกัดพรรคการเมืองชัดเจน ในระดับท้องถิ่นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ บางพื้นที่สู้แพ้มาเสียเลย ชนะมาก็ใช่ว่าจะดีเพราะไปแข่งกับเพื่อนแล้วเพื่อนโกรธอีก พอไปถึงเลือกตั้งใหญ่ก็มีปัญหา เราไม่เอาตราของพรรคไปบังคับไปชี้นำอะไร ให้ประชาชนตัดสินใจ เมื่อถามถึงกระแสข่าว น.ส.พิมภัทรา พิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช พรรค รทสช. อดีต รมว.อุตสาหกรรม จะย้ายไปสังกัดพรรค ภท. หลังไปสนับสนุนผู้สมัครนายก อบจ.นครศรีธรรมราช ที่มีความใกล้ชิดกับพรรค ภท. นายเอกนัฏตอบว่า เป็นเพียงข่าว ยังคุยกันอยู่ทุกวัน ไปปล่อยข่าวกัน

“ทักษิณ” ฟังวิสัยทัศน์ “เจนเซ่น หวง”

เวลา 13.15 น.ที่ห้องบอลรูม โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กทม. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน “AI Vision for Thailand” มีนายเจนเซ่น หวง (Jensen Huang) ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท NVIDIA บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ ให้การต้อนรับ ภายในงานยังมีนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี นายสารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เข้าร่วมงานด้วย สำหรับงาน “AI Vision for Thailand” จัดขึ้นโดย Siam AI Cloud โดยนายเจนเซ่น หวง ขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์

พร้อมจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กล่าวว่า วันที่ 22 ม.ค.2568 จะเป็นวันแรกของการเปิดให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทยในการส่งเสริมความเท่าเทียมและการยอมรับความหลากหลายทางเพศ ทั้งยังแสดงความยินดีกับคู่รักทุกคู่ที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างเท่าเทียมกัน ผ่านการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายฉบับใหม่นี้ กระทรวงมหาดไทยพร้อมให้บริการ นายทะเบียนทั้ง 878 อำเภอทั่วประเทศ และ 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ได้รับการอบรมและซักซ้อมการให้บริการอย่างครบถ้วน พร้อมระบบรองรับที่จัดเตรียมไว้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทุกสำนักงานเขต ทุกที่ว่าการอำเภอ

“หนู” ยินดีทองแผ่นเดียว “อัศวเหม”

อีกเรื่อง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณีนายเศรณี ชาญวีรกูล หรือ “เป๊ก” บุตรชาย ขอ น.ส.ชนม์ทิดา อัศวเหม “น้องเพลง” บุตรสาวของนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม และนางนันทิดา แก้วบัวสาย นายก อบจ.สมุทรปราการ แต่งงานว่า “ยินดีจะได้เป็นอากงสักที” เมื่อถามว่าที่บอกว่าถ้าแต่งงานแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง นายอนุทินหัวเราะก่อนตอบว่า ไม่จริงหรอก ชอบแซวลูกชายเล่น จริงๆ สวรรค์ทั้งนั้น ตามขนบธรรมเนียมไปเอาลูกสาวเขามาพ่อก็ต้องไปขอกับแม่ คุณพ่อไม่อยู่แล้วและคงไปขอเอง เมื่อถามว่าเป็นการเปิดพื้นที่การเมืองหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า “ไม่เกี่ยว จะเอาความรักไปรวมกับการเมืองไม่ได้” เรื่องส่วนตัวปล่อยให้เป็นไป อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เราทำงานทำหน้าที่ของเราต่อไป ด้านนางนันทิดากล่าวว่า เพิ่งทราบพร้อมนายอนุทินยินดีกับเขาทั้งสอง เมื่อถึงเวลาของพวกเขา ก็คือเวลาของพวกเขา

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่